รีวิว MG HS PHEV 2021 ใหม่ ไม่ได้มีดีแค่ความคุ้มค่า แต่สมรรถนะยังแรงเกินคาด
MG HS PHEV 2021 ใหม่ ถือเป็นรถ SUV ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดที่มีราคาจำหน่ายเข้าถึงได้ง่ายที่สุดในขณะนี้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้รถรุ่นนี้มีดีเพียงฉาบฉวยเท่านั้น เพราะหลังจากที่เราได้ทดลองขับกันหนึ่งวันเต็มๆ ก็พูดได้เต็มปากว่านี่คือรถเอ็มจีที่น่าใช้ที่สุดเท่าที่เราเคยทดสอบขับมาเลยก็ว่าได้
MG HS PHEV ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ MG HS เครื่องยนต์เบนซินที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีรูปลักษณ์สวยงามลงตัวอย่างที่หลายคนชื่นชอบ และทำให้ลืมภาพลักษณ์ของเอ็มจียุคแรกๆ ที่นำเข้ามาวางขายในประเทศไทยไปแทบจะหมดสิ้น
สำหรับ MG HS PHEV เครื่องยนต์ Plug-in Hybrid จะมีให้เลือกเพียงรุ่นย่อยเดียวเท่านั้น และถือเป็นรถในตระกูล HS ที่มีอุปกรณ์มาตรฐานครบครันที่สุดในขณะนี้ โดยมีราคาจำหน่ายขยับขึ้นมาจากรุ่นท็อปเบนซิน (รุ่น X) อยู่ที่ 240,000 บาทพอดิบพอดี แลกกับการได้ครอบครองเทคโนโลยีไฮบริดเสียบปลั๊ก พร้อมด้วยอุปกรณ์มาตรฐานบางอย่างที่เพิ่มขึ้นมา
ภายนอก
ดีไซน์ภายนอกของรุ่น PHEV ยังคงถอดแบบมาจากรุ่นเบนซิน หากมองเผินๆ อาจแยกกันไม่ออกด้วยซ้ำไป เพราะนอกจากลวดลายของล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว และฝาปิดช่องชาร์จไฟฝั่งผู้ขับขี่บริเวณใกล้กับประตูหลังที่เพิ่มขึ้นมาแล้วนั้น ส่วนอื่นๆ ก็ยังคงเหมือนกันทั้งหมด แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรเลย
อุปกรณ์มาตรฐานภายนอกของ HS PHEV ประกอบด้วยไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime Running Lights ที่สามารถเปลี่ยนเป็นไฟเลี้ยวแบบ Sequential ดีไซน์สวยงาม มาพร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และระบบปรับระดับสูง-ต่ำตามน้ำหนักบรรทุกจากปุ่มภายในรถ มีไฟตัดหมอกหน้าและหลังมาให้เป็นมาตรฐาน
ขณะที่ไฟท้ายถูกยกชุดมาจากรุ่นเบนซินเช่นกัน เสริมความหล่อด้วยไฟเลี้ยวแบบ Sequential เช่นเดียวกับด้านหน้า ติดตั้งกระจกมองข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้า, ระบบปัดน้ำฝนหน้าอัตโนมัติ, ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า และที่ขาดไม่ได้เห็นจะเป็นหลังคา Panoramic Sunroof บานใหญ่พิเศษที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของรถเอ็มจีไปแล้ว
ภายใน
ภายในห้องโดยสารมีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ขึ้นอยู่กับสีภายนอก โดยมีดำจะมาคู่กับตัวถังสีแดง Scarlet Red และสีดำ Black Knight ส่วนสีทูโทนขาว-น้ำเงิน Monaco Blue จะอยู่ในตัวถังสีขาว Arctic White เท่านั้น ส่วนใครจะชอบสีไหนก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่เมื่อเห็นของจริงก็ต้องยอมรับว่าห้องโดยสารสีขาวตัดสีน้ำเงินก็ช่วยให้ดูพรีเมียมและล้ำสมัยไม่น้อยทีเดียว
เบาะนั่งของ HS PHEV เป็นทรงสปอร์ตที่รวมเอาพนักพิงศีรษะเข้าไว้เป็นชิ้นเดียวกับตัวเบาะ สามารถปรับไฟฟ้าฝั่งผู้ขับขี่ได้ 6 ทิศทาง และฝั่งผู้โดยสารได้ 4 ทิศทาง พร้อมพนักพิงเบาะนั่งแถวหลังสามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 ได้ ขณะที่พวงมาลัยแบบ 3 ก้านถูกหุ้มวัสดุหนังเช่นกัน สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง ทั้งขึ้น-ลง และยืดเข้า-ออกเพื่อให้เหมาะสมตามสรีระของแต่ละคน
ชุดเรือนไมล์สำหรับแสดงข้อมูลการขับขี่เป็นแบบ Interactive Multi-function Display ขนาด 12 นิ้ว สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้ตามโหมดการขับขี่ โดยสามารถแสดงข้อมูลระบบขับเคลื่อนได้ค่อนข้างละเอียด จนแทบจะรู้สึกว่าเกินความจำเป็นไปนิดๆ เสียด้วยซ้ำไป แต่ถึงกระนั้น ตัวหน้าจอก็สามารถแสดงความเร็วและการใช้กำลังไฟเป็นตัวเลขขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นได้อย่างสบายตา
อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ก็ยังคงมีให้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นกระจกไฟฟ้า One Touch Up-down ทั้งสี่บาน, กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual-zone แยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา พร้อมไส้กรอง PM2.5, ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, ช่องจ่ายไฟแบบ USB สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง 2 ตำแหน่ง, กุญแจรีโมท Smart Key พร้อมปุ่ม Push Start และไฟ Ambient Light ช่วยเพิ่มบรรยากาศภายในห้องโดยสาร
ด้านระบบอินโฟเทนเมนท์ติดตั้งหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อผ่านบลูทูธและ USB รวมถึงกล้องมองภาพรอบคัน เสริมความพรีเมียมด้วยระบบเสียง BOSE 8.1 Sound System พร้อมด้วยระบบเชื่อมต่อ i-SMART ที่เพิ่มฟังก์ชั่น Charging Management เพื่อตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่, การชาร์จแบตเตอรี่ และค้นหาสถานีชาร์จได้
ขณะที่ฟีเจอร์อื่นๆ ที่สำคัญของระบบ i-SMART ใน HS PHEV ยังมีให้อย่างครบถ้วน เช่น การล็อก-ปลดล็อกประตูผ่านมือถือ, ระบบค้นหารถยนต์ด้วยการเปิดไฟหน้าหรือส่งเสียงแตร, ระบบแจ้งเตือนความผิดปกติของตัวรถ, ระบบนำทางพร้อมแสดงข้อมูลการจราจรแบบเรียลไทม์ และสามารถเปิดแอร์ภายในรถให้เย็นฉ่ำก่อนก้าวขึ้นรถได้ เป็นต้น
ส่วนระบบความปลอดภัยก็ยังคงแน่นเอี๊ยดถึง 25 ฟังก์ชั่นตามสไตล์เอ็มจี ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning, ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control, ระบบเตือนและควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน Lane Departure Warning/Land Keep Assist, ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง Tire Pressure Monitor System และอื่นๆ อีกมากมาย
แต่ไฮไลท์เด็ดของ HS PHEV อยู่ที่ระบบ Door Open Warning แบบเดียวกับที่เราเคยพบในรถระดับหรูบางยี่ห้อ โดยเซ็นเซอร์บริเวณกันชนท้ายจะตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนเป็นสัญญาณไฟกระพริบบริเวณแผงลำโพงใกล้กับเสา A ว่ามีรถมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานกำลังวิ่งขึ้นมาทางด้านข้างในขณะเปิดประตู เพื่อลดความเสียงในการเปิดประตูกระแทกบุคคลภายนอก ซึ่งฟังก์ชั่นนี้จะทำงานต่อเมื่อรถที่วิ่งขึ้นมาด้านข้างมีความเร็วตั้งแต่ 8 กม./ชม. ขึ้นไป
เครื่องยนต์
MG HS PHEV ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ Turbo TGI ความจุ 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุดเฉพาะเครื่องยนต์อยู่ที่ 162 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตัน-เมตร แถมยังมีเกียร์ 4 จังหวะสำหรับขับเคลื่อนล้อคู่หลังโดยเฉพาะ
โดยเอ็มจีเคลมพละกำลังสูงสุดรวมทั้งระบบเอาไว้ที่ 284 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตัน-เมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่นำกำลังสูงสุดของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าบวกกันแบบดื้อๆ เช่นเดียวกับระบบเกียร์อัตโนมัติ EDU II แบบ 10 สปีด ที่เอาอัตราทดของเครื่องยนต์และเกียร์มารวมกัน (ที่เป็นเช่นนี้เข้าใจว่ามีสาเหตุมาจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าของ HS PHEV มีการส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้าและหลังอย่างอิสระ จึงไม่อาจวัดกำลังรวมที่แท้จริงได้เหมือนกับรถไฮบริดทั่วไป)
ทั้งหมดที่เราเล่ามานี้ ก็อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า HS PHEV จะไม่แรงตามสเปกหรอกนะครับ เพราะอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ของรถคันนี้ถูกเคลมไว้ที่ 7.5 วินาทีเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างสมเหตุสมผลกับรถเอสยูวีที่มีน้ำหนักรถเปล่าเกือบ 1.8 ตัน พร้อมล้ออัลลอยขนาดใหญ่ถึง 18 นิ้ว หุ้มด้วยแก้มยางซีรี่ย์ 50 จนเรียกได้ว่าเป็นรถเอ็มจีที่มีอัตราเร่งดีที่สุดในขณะนี้เลยก็ว่าได้
แบตเตอรี่ไฮบริดเป็นแบบลิเธียม-ไอออนขนาด 16.6 kWh สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าได้เป็นระยะทาง 67 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC อีกทั้งยังสามารถเร่งความเร็วในโหมดไฟฟ้าได้จนถึง 155 กม./ชม. โดยไม่ต้องอาศัยการทำงานของเครื่องยนต์เลยแม้แต่นิดเดียว (แต่นั่นก็จะทำให้ปริมาณแบตเตอรี่ลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน) ขณะที่อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 65 กม./ลิตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่วัดจากประมาณแบตเตอรี่เต็มก่อนจะตัดไปใช้ระบบไฮบริดปกติ
การขับขี่
สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ เราจะเริ่มออกสตาร์ทในขณะที่แบตเตอรี่ (เกือบ) เต็ม เพื่อเป็นการจำลองการใช้งานในชีวิตประจำวันของชาวออฟฟิศที่ต้องมุ่งหน้าขับรถเข้าเมืองท่ามกลางสภาพจราจรหนาแน่นในช่วงเช้าและเย็น และกลับบ้านมาชาร์จแบตเตอรี่ค้างคืนไว้จนเต็มสำหรับนำไปใช้งานในวันถัดไป ดังนั้นการขับขี่ในช่วงแรกระบบจะดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้ในการขับเคลื่อนเป็นหลัก และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องยนต์ให้มากที่สุด
การขับขี่ในโหมดไฟฟ้าของ MG HS PHEV ให้อัตราเร่งที่นุ่มนวลตามฉบับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดส่วนใหญ่ที่เราเคยสัมผัสมา แต่จังหวะที่เส้นทางข้างหน้าเปิดโล่ง ก็สามารถเติมคันเร่งเพื่อให้รถพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วตามใจสั่ง และตอบสนองได้ดีเพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไปโดยแทบไม่ต้องอาศัยกำลังจากเครื่องยนต์เพิ่มเติมเลย
เมื่อเดินทางมาถึง ถ.บรมราชชนนีขาออก ที่มีลักษณะเปิดโล่ง เราก็สามารถไต่ระดับจนถึงความเร็ว 120 กม./ชม. ได้อย่างไม่ยากเย็น แต่จุดที่ต้องสังเกตอย่างหนึ่งคือ ช่วงระดับความเร็วประมาณ 60-70 กม./ชม. จะมีอาการวูบให้รู้สึกอยู่เล็กน้อย ซึ่งอาการที่ว่านี้คล้ายกับว่าพละกำลังได้หายลงไปดื้อๆ สักครึ่งวินาที ก่อนจะมีแรงส่งไปข้างหน้าต่อได้อีกครั้ง
โดยทีมงานของเอ็มจีให้เหตุผลว่าอาการดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการตัดต่อของชุดเกียร์ของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีอัตราทดชนกันพอดิบพอดี (ซึ่งเกิดขึ้นแม้ว่าเครื่องยนต์จะไม่ได้ทำงานด้วยก็ตาม) และจะเกิดขึ้นกับช่วงความเร็วที่ว่านี้เท่านั้น ขณะที่ช่วงความเร็วอื่นๆ จะยังคงให้ความลื่นไหลและนุ่มนวลอย่างที่ควรจะเป็น แต่ก็เชื่อว่าน่าจะทำให้ใครหลายคนรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างไม่น้อย
เราเดินทางจากเลียบทางด่วนมายังร้านกาแฟชื่อดังย่านราชพฤกษ์ ก่อนจะมาแวะรับประทานอาหารกลางวันแถวสีลม ใช้ระยะทางรวมทั้งสิ้น 45.6 กิโลเมตร สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองไปเพียง 58.8 กม./ลิตรเท่านั้น (แน่นอนว่าระหว่างการขับขี่มีการใช้เครื่องยนต์เข้ามาบ้าง) ขณะที่ปริมาณแบตเตอรี่ยังคงเหลืออยู่อีก 32% และหน้าจอยังโชว์ว่าสามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าได้อีกราว 21 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจทีเดียว เพราะเราใช้เส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่นปกติ ไม่ได้ย่างกรายขึ้นทางด่วนเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่ปริมาณแบตเตอรี่ลดลงเหลือน้อยเกินกว่าจะขับเคลื่อนในโหมด EV ได้นั้น ระบบจะตัดเป็นโหมดไฮบริดในทันที ซึ่งจะเห็นได้ว่าการทำงานของเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตรที่เข้ามาเสริมมอเตอร์ไฟฟ้านั้น ทำให้ตัวรถมีความกระฉับกระเฉงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าสภาพการจราจรจะไม่เอื้ออำนวยให้เราได้ทดสอบอัตราเร่งด้วยตัวเอง แต่เท่าที่เอ็มจีเคลมตัวเลข 0-100 กม./ชม. ไว้ที่ 7.5 วินาที ก็ดูใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากทีเดียว ซึ่งนั่นก็แรงพอให้กระบะพ่นหมึกทั้งหลายถึงกับอ้าปากเหวอได้เลย
ช่วงล่างของ HS PHEV มีความแตกต่างจากเอ็มจีรุ่นอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมีความแข็งกระด้างเพิ่มขึ้นอยู่พอสมควร จะสังเกตได้ชัดเวลาขับผ่านรอยต่อคอสะพานหรือฝาท่อที่ไม่เรียบเสมอกับพื้นถนน จะมีอาการตึงตังให้รู้สึกอยู่พอประมาณ แต่ก็แลกกับการทรงตัวที่นิ่งบนความเร็วสูง ต่างจากช่วงล่างของ MG ZS EV ที่รายนั้นถูกเซ็ตมานิ่มย้วยยวบยาบราวกับขับรถพีพีวีกันไปเลย
ขณะที่การเก็บเสียงทำได้ดีเช่นกัน เนื่องจากทีมวิศวกรได้มีการพัฒนา NVH (Noise Vibration Harshness) มาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ฟิล์มซับเสียง การเพิ่มแผ่นซับเสียงภายในห้องโดยสาร ช่วยตัดเสียงรบกวนจากภายนอกทั้งเสียงลมและเสียงจากพื้นถนน จึงรับรู้ได้ว่าพวกเขาหันมาใส่ใจในรายละเอียดมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพื่อพัฒนาให้รถคันนี้เหมาะสำหรับลูกค้าชาวไทยมากยิ่งขึ้น
สรุป
MG HS PHEV ยังคงเป็นรถที่ให้ความคุ้มค่าเต็มเปี่ยมชนิดหาคู่เทียบไม่ได้ ด้วยอุปกรณ์มาตรฐานที่มีให้อย่างเต็มเอี๊ยดทั้งคัน ทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยนับไม่ถ้วน ขณะที่ระบบปลั๊กอินไฮบริดก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่คาดหวังไว้ (แต่มีจุดสังเกตเล็กๆ อยู่ที่อาการวูบในช่วงความเร็ว 60-70 กม./ชม. อย่างที่กล่าวไป) แถมยังแรงเกินคาดอยู่นิดๆ ด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ MG HS PHEV ยังมาพร้อมเงื่อนไขการรับประกันแบตเตอรี่นาน 8 ปี ไม่จำกัดระยะทาง รวมถึงแบตเตอรี่ที่สามารถถอดเปลี่ยนแบบแยกโมดูลได้ ซึ่งน่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษาลงได้ในระยะยาว
รถคันนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องทำงานออฟฟิศ หรือใช้รถอยู่เป็นประจำ ทั้งในเมืองและนอกเมือง แบตเตอรี่ให้พลังงานเพียงพอสำหรับการขับรถไปทำงาน และสลับมาเป็นระบบไฮบริดในช่วงขากลับบ้าน ก่อนจะกลับมาชาร์จเพื่อใช้ขับรถไปทำงานในวันถัดไป ซึ่งเป็นจุดเด่นของระบบ PHEV ที่ช่วยยืดระยะการเติมน้ำมันในแต่ละถังออกไปได้
ราคาจำหน่าย MG HS PHEV 2021 ใหม่ อยู่ที่ 1,359,000 บาท
อัลบั้มภาพ 36 ภาพ