7 เช็กลิสต์ จะรู้ได้อย่างไรว่าเรา "ติดหวาน" อยู่หรือเปล่า ?
-
องค์การอนามัยโลก แนะนำให้รับประทานน้ำตาลวันละไม่เกิน 6 ช้อนชา (24 กรัม)
-
โรคเบาหวานเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต ตาบอด และไตวาย และพบว่า 1 ใน 2 คน จะเป็นเบาหวานโดยไม่รู้ตัว
-
การลดของหวาน ทำได้โดยค่อย ๆ ลดปริมาณลงวันละนิด จนกว่าร่างกายจะปรับตัวกับความหวานที่น้อยลง ดื่มน้ำเปล่า โดยไม่ปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ เนื่องจากจะทำให้รู้สึกหิวและเพิ่มความอยากของหวานมากขึ้น
ของหวานคือความพึงพอใจของใครหลายคน โดยเฉพาะขนมไทยที่หอมหวานชวนกิน ไม่ว่าจะเป็นขนมถ้วย หม้อแกง ตะโก้เผือก หรือเปียกปูน รวมถึงขนมในงานมงคลต่างๆ อย่างฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด เม็ดขนุน และอีกสารพัด แม้ขนมไทยจะไม่มีนม เนย แต่ก็มีแป้ง น้ำตาล และไข่เป็นส่วนผสมหลัก หากกินแป้ง หรือน้ำตาลมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานซึ่งเป็นภัยเงียบ ถ้าหากปล่อยจนเรื้อรังอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เบาหวานขึ้นตา ไตวาย และที่พบเห็นบ่อยคือแผลที่รักษาไม่หาย จนทำให้ต้องถูกตัดขา
เบาหวาน เรื่องหวาน ๆ ที่ต้องระวัง
โรคเบาหวานเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต ตาบอด และไตวาย และ 1 ใน 2 คน เป็นเบาหวานโดยไม่รู้ตัว สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation) คาดการณ์ว่า จะมีผู้ป่วยเบาหวานถึง 522 ล้านคน ในอีก 10 ปีข้างหน้า ( ปี คศ. 2030)
คนไทยติดหวาน
รายงานจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายแห่งประเทศไทย พบว่าอัตราการบริโภคน้ำตาลของคนไทยได้เพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบัน เฉลี่ยมากถึง 20-26 ช้อนชาต่อคนต่อวัน ซึ่งองค์การอนามัยโลก แนะนำให้รับประทานน้ำตาลเพียงแค่วันละ 6 ช้อนชา (24 กรัม) เทียบง่ายๆ โดยน้ำตาล 4 กรัม เท่ากับ 1 ช้อนชา จะเห็นได้ว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลเกินจากปริมาณที่แนะนำหลายเท่าตัว โดยน้ำตาลอาจแฝงมาในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะขนมไทยชนิดต่างๆ เนื่องจากขนมหวานไทยมีวิธีปรุงและตักแบ่งขายโดยไม่มีบรรจุภัณฑ์มาตรฐานที่ระบุคุณค่าอาหารและปริมาณน้ำตาลไว้ให้เห็นชัดเจน
ตัวอย่างปริมาณน้ำตาลในขนมแต่ละชนิด
ชื่อขนม | ปริมาณ | น้ำหนัก(กรัม) | ปริมาณน้ำตาล (กรัม) |
ขนมเปียกปูน | 1 ชิ้น | 50 | 10 |
ข้าวต้มมัดไส้กล้วย | 1 ชิ้น | 70 | 10.5 |
ข้าวเหนียวสังขยา | 1 ห่อ | 100 | 19 |
ข้าวเหนียวหน้าปลาแห้ง | 1 ห่อ | 100 | 22 |
ขนมทองหยอด | 1 ลูก | 9 | 5.1 |
ขนมเม็ดขนุน | 1 เม็ด | 8 | 3 |
ขนมฝอยทอง | 1 แพ | 32 | 12.8 |
รู้ได้อย่างไรว่าติดหวาน
- อยากรับประทานขนมหวาน รวมถึงผลไม้รสหวาน ผลไม้แห้งและผลไม้แช่อิ่มบ่อย ๆ
- หากไม่ได้รับประทานของหวานจะรู้สึกไม่มีแรง เหนื่อย หงุดหงิด
- หิวบ่อย หรือมักนึกถึงอาหารอยู่เสมอ แม้จะเพิ่งรับประทานเสร็จ
- หลังอาหารทุกมื้อต้องตามด้วยของหวาน ผลไม้หวาน น้ำอัดลม หรือน้ำหวาน
- มีของหวานติดบ้านเป็นประจำ
- เติมน้ำตาลในอาหารคาวเกือบทุกจาน
- ดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน ชา กาแฟรสชาติหวาน แทนน้ำเปล่าตลอดทั้งวัน
เลิกหวาน เลี่ยงโรค
- รับประทานของหวานแต่พอดี หรือเพียงชิ้นเล็ก ๆ
- เลือกผลไม้ไม่หวานจัดแทนขนมหรือผลไม้รสหวาน เช่น ชมพู่ ฝรั่ง เป็นต้น
- งดเติมน้ำตาลลงในอาหาร เครื่องดื่ม หรือขนม โดยอาจเริ่มต้นจากลดปริมาณลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดจึงไม่ต้องเติมอีกเลย
- ดื่มน้ำเปล่า โดยไม่ปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ เนื่องจากจะทำให้รู้สึกหิวและเพิ่มความอยากของหวานมากขึ้น
- รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง และถั่วเปลือกแข็ง เพื่อช่วยบรรเทาความอยากของหวาน
- เลิกตุนขนมไว้ในบ้าน รวมถึงควรอ่านฉลากโภชนาการ เพื่อดูปริมาณน้ำตาล
- ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที นอกจากช่วยเผาผลาญพลังงาน ยังช่วยให้มีกิจกรรมน่าสนใจ จะได้ไม่คิดแต่เรื่องอาหาร
การเลี่ยงของหวาน อาจไม่จำเป็นต้องหักดิบเลิกของหวานโดยเด็ดขาด แต่สามารถทำได้โดยค่อย ๆ ลดปริมาณลงวันละนิด จนกว่าร่างกายจะปรับตัวกับความหวานที่น้อยลง แม้ขนมไทยจะมีความหอมหวานและรสชาติอร่อย แต่ความหวานที่มากเกินไปเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน โรคที่ค่อย ๆ กัดกินสุขภาพ จนอาจทำให้สูญเสียอวัยวะและถึงแก่ชีวิตในที่สุด