7 สัญญาณอันตรายว่าคุณต้องลด “กาแฟ” ด่วนๆ
แม้ว่าคุณจะรักในการดื่มกาแฟมากแค่ไหน แต่หากเกิดอาการเหล่านี้หลังดื่ม ควรหยุดหรือลดการดื่มลงทันที
กาแฟ เป็นเครื่องดื่มยอดฮิตของวัยหนุ่มสาว และวัยทำงาน รวมถึงวัยชราบางคน ด้วยรสชาติหอมเข้มไม่เหมือนเครื่องดื่มชนิดไหน และยังเติมเต็มความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าด้วยฤทธิ์จากคาเฟอีน
แต่ฤทธิ์ของคาเฟอีนที่ว่า อาจส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดีได้ หากคุณดื่มกาแฟแล้วเกิดอาการผิดปกติขึ้น
7 สัญญาณอันตรายว่าคุณต้องลด “กาแฟ” ด่วนๆ
- ปวดศีรษะ
- นอนไม่หลับ
- วิตกกังวล
- หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย
- ปัสสาวะบ่อยกว่าเดิม หรือไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้
- หัวใจเต้นรัว
- กล้ามเนื้อสั่น
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติเมื่อดื่มกาแฟ
- ร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกินไป
- ร่างกายมีปฏิกิริยาเร็วต่อคาเฟอีนมากกว่าคนอื่น
- นอนไม่หลับ หรือนอนไม่เพียงพอ แล้วอัดกาแฟเพื่อให้ตัวเองตื่น ซึ่งทำให้ในคืนถัดไปนอนไม่หลับ นอนไม่เพียงพอ ต้องวนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลียเกินไปจนเกิดอาการผิดปกติได้
- ยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยาบางอย่างกับคาเฟอีน เช่น อีเฟดรา อาจทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น หัวใจวาย หลอดเลือดอุดตัน หรือ ทีโอฟิลลีน ยารักษาโรคหืดและปอดอุดกั้นเรื้อรัง อาจเพิ่มฤทธิ์ของคาเฟอีนให้รุนแรงขึ้นจนเกิดอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ หรือใจสั่นได้
วิธีลดปริมาณกาแฟอย่างปลอดภัยและได้ผล
- จำกัดปริมาณในการดื่มของตัวเอง และพยายามไม่ดื่มมากไปกว่านั้น ปริมาณที่เหมาะสมของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ทางที่ดีไม่ควรเกิน 4 แก้วต่อวัน
- อย่าลืมเช็กปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่มหรืออาหารอื่นๆ เพราะอย่าลืมว่าคาเฟอีนไม่ได้มีอยู่ในกาแฟอย่างเดียว
- ค่อยๆ ลดอย่างช้าๆ จากที่เคยกินวันละ 4 แก้ว ค่อยๆ ลดลงเหลือวันละ 3 แก้ว ผ่านไป 3 วันลดลงอีกแก้ว ไปเรื่อยๆ จนเหลือแค่วันละแก้ว หรือ 2-3 วันต่อแก้ว หรืออยู่ในปริมาณที่ดื่มแล้วไม่เกิดอาการผิดปกติ
- เลือกดื่มกาแฟดีแคฟ หรือกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน
- เปลี่ยนไปดื่มเครื่องดื่มอื่นๆ แทนบ้าง เช่น ชา โกโก้ หรืออื่นๆ