คนงานตัดอ้อยช็อก! เจอโครงกระดูกมนุษย์กลางป่าอ้อย คาดถูกฆาตกรรมทิ้งศพอำพราง
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 5 ม.ค. 63 ร.ต.ท.ธนวัฒน์ ถนอมวงษ์ รองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรบ้านบึง ได้รับแจ้งมีคนพบโครงกระดูกมนุษย์กลางป่าอ้อยเนื้อที่กว่า 90 ไร่ พื้นที่ หมู่ 2 ตำบลหนองไผ่แก้ว อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี จึงรีบรุดไปตรวจสอบพร้อมหน่วยกู้ภัยศีลธรรมสมาคมบ้านบึงและเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ที่เกิดเหตุพบเป็นโครงกระดูกมนุษย์ที่พื้นดิน แยกออกเป็น 6 จุด จุดแรกคือชิ้นส่วนขาท่อนล่างกับกระดูกเชิงกราน ห่างกันเล็กน้อย พบชิ้นส่วนของกระโหลกศีรษะ มีเศษผมหลุดปะปนกับเศษดิน และที่เหลืออีก 4 จุดเป็นชิ้นส่วนกระดูกซี่โครงจึงได้นำกระดูกทั้งหมดมารวมกันก่อนจะให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานนำไปตรวจผล DNA ว่าเป็นของใคร
จากการสอบถาม นางบังอร อินทร์งาม อายุ 41 ปี คนงานตัดอ้อยที่มาพบคนแรกเล่าว่า ในขณะที่ตนเองและคนงานคนอื่นๆกำลังช่วยกันตัดอ้อยอยู่นั้น ตนเองได้เดินมาที่แปลงอ้อยแล้วลงมือตัดอยู่ด้านหน้าคนงานอื่นๆ มองไปเห็นกระดูกกองอยู่กับพื้นด้วยความตกใจจึงร้องตะโกนเรียกให้เพื่อนมาช่วยดูพร้อมกับบอกว่าอย่าไปแตะต้อง ก่อนที่จะเรียกให้นายจ้างมาดูและโทรแจ้งผู้ใหญ่บ้านกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระหว่างนั้นก็ได้เดินสำรวจรอบๆอย่างละเอียดก็พบชิ้นส่วนโครงกระดูกส่วนอื่นๆพร้อมกระโหลกศีรษะ
นายสมชาย แซ่โล้ว อายุ 49 ปีเจ้าของไร่อ้อยดังกล่าวที่คนงานพบโครงกระดูกเล่าว่า เมื่อช่วงเย็นวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้พาคนงานมาเผาอ้อยเพื่อจะทำการตัดในวันรุ่งขึ้น จนกระทั่งวันนี้ขณะที่คนงานลงมือตัดอ้อยจนเกือบหมดไร่ ก็ได้รับแจ้งจากคนงานว่าในไร่อ้อยมีโครงกระดูก จึงรีบมาดู ปกติแล้วที่ไร่อ้อยดังกล่าวจะเป็นที่รก ไม่มีคนเข้าออก เคยมีคนมาหาปลาบ้าง แต่ไม่บ่อยครั้ง ก่อนหน้านี้มีคนมาตามหาคนคนหายกับคนงานแต่นานมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งมาพบซากกระดูกในไร่อ้อยตนดังกล่าว
จากการตรวจสอบของทีมแพทย์โรงพยาบาลบ้านบึงระบุคร่าวๆว่า ซากโครงกระดูกคาดว่าจะเป็นของผู้ชาย เนื่องจากกระดูกกรานเล็ก มีเสื้อยืดสีดำอยู่ในที่เกิดเหตุ เหมือนของผู้ชาย และคาดว่าจะเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 5-6 เดือน
ส่วนทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บันทึกภาพในที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐานก่อนจะได้เช็คประวัติย้อนหลังว่ามีญาติหรือใครแจ้งความคนหายไว้บ้าง จะได้เช็คและตามหาญาติมายืนยันแต่ก็ไม่ทิ้งประเด็นการถูกฆาตกรรมแล้วนำศพมาทิ้งอำพราง แต่อย่างไรก็ตามต้องรอผลชันสูตรอีกครั้งว่าเป็นใครเพื่อจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป