McLaren MP4-12C ซูเปอร์คาร์ไฮเอนด์ เนียนทุกมิติ

McLaren MP4-12C ซูเปอร์คาร์ไฮเอนด์ เนียนทุกมิติ

McLaren MP4-12C ซูเปอร์คาร์ไฮเอนด์ เนียนทุกมิติ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ค่ายยานยนต์ “น้องใหม่” แห่งอังกฤษ เปิดตัวซูเปอร์คาร์รุ่นแรกของค่าย โครงสร้างแชสซีนวัตกรรมคาร์บอนไฟเบอร์ ขุมพลัง V8  ทวินเทอร์โบ 600 แรงม้า ความเร็วต้นต่ำกว่า 4 วินาที  McLaren MP4-12C ซูเปอร์คาร์คูเป้ 2 ที่นั่ง วางเครื่องกลาง ขับเคลื่อนล้อหลัง เป็นยานยนต์รุ่นประเดิมของบริษัท McLaren Automotive แห่งโวกิง ประเทศอังกฤษ ที่ชูชื่อเสียงในวงการ Formula 1 (F1) เป็นประกัน


 คำว่า McLaren เป็นที่คุ้นเคยว่าคือค่ายยิ่งใหญ่ในวงการ F1 โดยมีรอน เดนนิส เป็นหัวเรือใหญ่ แต่เมื่อเอ่ยถึง McLaren Automotive บางคนอาจไม่คุ้นหูนัก  ก่อนหน้านี้ McLaren Automotive เป็นบริษัทย่อย McLaren Group ทำหน้าที่ร่วมพัฒนารถแข่ง F1 รวมทั้งผลิตสปอร์ตคาร์ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยผลิต McLaren F1 ออกมาเขย่าวงการระหว่างปี 1993-1998 ตามด้วยการร่วมมือกับ Mercedes-Benz ผลิต Mercedes-Benz SLR McLaren ระหว่างปี 2003-2009

ในปีนี้ เดนนิสประกาศอำลาวงการ F1 โดยแยก McLaren Automotive ออกมาเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเดียวโดยไม่เกี่ยวข้องกับ วงการมอเตอร์สปอร์ต ทำให้ McLaren Automotive เป็นน้องใหม่ของวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่มีทีมงานมากประสบการณ์นำโดยเดนนิส สำหรับชื่อ MP4-12C เป็นตัวย่อมีความหมายในตัว โดย ‘MP4’ หมายถึง McLaren Project 4 เป็นโครงการพัฒนารถแข่ง F1 ของทีม McLaren ทุกรุ่นตั้งแต่ปี 1981 ส่วนเลข 12 หมายถึงดัชนีที่ McLaren ประเมินสมรรถนะยานยนต์ตามหลักการของตน และ C หมายถึงโครงสร้างแชสซีวิวัฒนาการผลิตจากวัสดุที่ McLaren เรียกว่า Carbon MonoCell

โครงสร้างก้าวหน้า
 
โครงสร้างแชสซี Carbon MonoCell ผลิตจากวัสดุผสมคาร์บอนไฟเบอร์ชิ้นเดียว โดยพัฒนายกระดับจากแชสซีของรถแข่ง F1 รวมทั้งประสบการณ์การพัฒนาแชสซีของซูเปอร์คาร์ McLaren F1 และ SLR   Carbon MonoCell มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ขณะที่มีความแข็งแกร่งและทนทานสูง ส่งผลดีด้านความปลอดภัย ขณะที่ซ่อมบำรุงง่าย โดยมีน้ำหนักต่ำกว่า 80 กก. ช่วยให้น้ำหนักรวมของรถเบา เอื้อต่อความเร็วและปราดเปรียว
 
ส่วนโครงสร้างบอดี้ด้านหน้าและหลังทำจากอะลูมิเนียมอัลลอย ทำหน้าที่ซับแรงกระแทกโดยยึดติดกับแชสซี MonoCell โดยตรง ช่วยให้ห้องโดยสารมีระบบปกป้องแข็งแกร่ง ขณะที่บอดี้ทำจากพลาสติกคุณภาพสูง  ค่ายยานยนต์แห่งอังกฤษระบุว่า โครงสร้างแชสซีและบอดี้ของ MP4-12C เป็นเทคโนโลยีก้าวหน้าระดับแถวหน้าของวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ พร้อมกับประกาศว่าองค์ประกอบทุกส่วนของซูเปอร์คาร์รุ่นนี้พัฒนาใหม่ทั้งหมด 

พลัง 600 แรงม้า
 
ขุมพลังเป็นเครื่อง V8 รหัส M838T ทวินเทอร์โบ 3.8 ลิตร องค์ประกอบทุกส่วนประยุกต์จากเทคโนโลยีรถแข่ง F1 รีดกำลังได้สูงสุดประมาณ 600 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 443 ปอนด์-ฟุต โดยเรียกแรงบิด 80% ได้ที่รอบต่ำกว่า 2,000 รอบ/นาที  ส่วนเรดไลน์อยู่ที่ 8,500 รอบ/นาที  ระบบเกียร์ เป็นเกียร์ไฮเทคดูอัลคลัตช์ Seamless Shift dual clutch gearbox (SSG) 7 สปีด ส่งกำลังสู่ล้อหลัง มีโหมดขับ 3 โหมด คือ normal, sport และ high performance และโหมดใช้งานอื่นอีก 3 โหมดคือ automatic, launch control และ winter
 
ค่ายยานยนต์แห่งอังกฤษยังไม่เปิดเผยตัวเลขอัตรากินน้ำมันและปล่อยไอเสีย ระบุเบื้องต้นเพียงว่าเป็นขุมพลังที่กินน้ำมัน มีประสิทธิภาพ ทำให้มีความประหยัดและปล่อยไอเสียต่ำ ตัวเลขสมรรถนะยังไม่เปิดเผยเช่นกัน ระบุเพียงกว้าง ๆ ว่าสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาต่ำกว่า 4 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดประมาณ 320 กม./ชม.

ช่วงล่างนวัตกรรม
 

ส่วนของระบบกันสะเทือน เป็นอีกส่วนที่ McLaren ระบุว่าเข้ามาสร้างมิติใหม่ในวงการซูเปอร์คาร์ ทั้งสมรรถนะด้านการเกาะถนนและระดับควบคุมอาการโคลงตัว โดยมีระบบนวัตกรรม Proactive Chassis Control เป็นเทคโนโลยีสำคัญส่วนหนึ่ง กันสะเทือนทั้งส่วนหน้าและหลังใช้ชุดดับเบิลวิชโบนพร้อมคอยล์สปริง มีสวิตช์ที่ Active Dynamics Panel ให้เลือกปรับโหมดให้สัมพันธ์กับเกียร์คือ ‘normal’, ‘sport’ และ ‘high performance’
 
ส่วนระบบ Proactive ทำหน้าที่แทนเหล็กกันโคลง มีกลไกควบคุมอาการโคลงตัวแบบปรับระดับได้ ช่วยให้ซูเปอร์คาร์รุ่นนี้เข้าโค้งได้อย่างดุดันในสภาพมั่นคง ระบบเบรกรุ่นมาตรฐาน เป็นชุดพัฒนาใหม่ ใช้อะลูมิเนียมร่วมกับดิสก์เหล็กหล่อ McLaren ระบุว่ามีประสิทธิภาพกว่ารุ่นเก่า อีกทั้งน้ำหนักเบากว่ารุ่นเก่าที่ใช้กับ McLaren F1 ถึง 8 กก. โดยมีดิสก์วัสดุผสมคาร์บอนเซรามิกเป็นออพชั่น
 
ส่วนของล้อใช้ล้ออัลลอยรุ่นวิจัยเฉพาะมีน้ำหนักเบากว่าล้อชนิดเดียวกัน 4 กก. ขนาดล้อหน้า 19 นิ้ว และล้อหลัง 20 นิ้ว ค่ายซูเปอร์คาร์แห่งอังกฤษระบุว่า MP4-12C เป็นสปอร์ตประเภท “เด็กขับได้ผู้ใหญ่ขับดี” หมายถึงผู้มีประสบการณ์น้อยก็สามารถขับได้ จากการติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์ช่วยขับหลายรายการ รวมทั้งระบบ ABS, ESP, ASR traction control, Electronic Brake Distribution, Hill Hold และ Brake Steer

โฉมไดนามิก
 
การพัฒนาโฉมภายนอกเน้นแอโร่ไดนามิกเป็นหลัก ตามด้วยสมรรถนะ ความประหยัดน้ำมัน การใช้ประโยชน์ และความสะดวกคล่องตัว   ส่วนหน้ามีระดับต่ำเป็นพิเศษ เนื่องจากไม่ได้จัดวางหม้อน้ำซึ่งย้ายไปติดตั้งไว้ด้านข้างแทน และใช้พื้นที่ใต้ฝากระโปรงหน้าเป็นห้องเก็บสัมภาระ เสริมกับห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง โฉมด้านหน้าโดดเด่นด้วยช่องดักอากาศขนาดใหญ่ และไฟหน้าชนิด bi-xenon พร้อมไฟวิ่งกลางวันชนิด LED และติดโลโก้ McLaren ไว้ที่ฝากระโปรงเป็นรุ่นแรก
 
มุมข้างสะท้อนไดนามิกด้วยรูปทรงต่ำ ไลน์กระจกบังลมและหลังคาลู่ลม และช่องดักอากาศขนาดใหญ่  ประตูระบบปีกนกเป็นเอกลักษณ์เด่นอีกส่วนหนึ่งของซูเปอร์คาร์รุ่นนี้ บั้นท้ายสะท้อนบุคลิกความเป็นซูเปอร์คาร์พลังดุ จากชุดกระจายทิศทางลมใต้กันชน และปลายท่อไอเสีย ขณะที่ไฟชนิด LED สะท้อนความทันสมัยและประโยชน์ด้านการใช้งาน

สปอยเลอร์ที่ McLaren เรียกว่า Airbrake ชนิดแอ็คทีฟ เป็นนวัตกรรมอีกชุดหนึ่ง มีสวิตช์ที่ Active Dynamics Panel สำหรับปรับองศารับแรงกดอากาศ โดยระบบนี้จะสร้าง downforce จากการปรับองศาให้สัมพันธ์กับระบบเบรก
 
ส่วนภายในห้องโดยสาร ได้รับการพัฒนาโดยมีเป้าหมายสร้างมิติใหม่ให้กับวงการ พื้นที่กว้างเป็นพิเศษ เป็นผลมาจากการออกแบบระบบจอภาพทัชสกรีน 7 นิ้ว แบบ telematics ควบคุมด้วยโหมด portrait
 
McLaren ระบุว่าศูนย์ข้อมูลข่าวสารนวัตกรรมดังกล่าว มีใช้ครั้งแรกในวงการยานยนต์โลก ทำหน้าที่ควบคุมระบบต่าง ๆ เช่น เครื่องเสียง ระบบนำทาง และระบบโทรศัพท์ แบบ telematics  นอกจากนั้นยังมีอุปกรณ์ก้าวหน้าอื่น ๆ อีกหลายรายการ ทำให้ซูเปอร์คาร์รุ่นนี้เป็นสปอร์ตไฮเทคอย่างแท้จริง


ประเดิมปี 2011
 
สำหรับด้านการตลาด McLaren แบ่งคลาสซูเปอร์คาร์ประเภท GT และพลังดิบที่พร้อมลงสนามแข่งออกเป็น 3 เซกเมนต์ด้วยกันคือ ‘core’ segment ราคาระหว่าง 125,000-175,000 ปอนด์ มีดาวเด่นคือ Ferrari 458, Lamborghini Gallardo, Porsche 911 Turbo, Bentley Continental GT และ Aston Martin DB9  ตามด้วยกลุ่ม high category ราคาระหว่าง 175,000 -250,000 ปอนด์ มีสปอร์ต GT วางเครื่องหน้าเป็นดาวเด่น เช่น Ferrari 599 GTB และ Ferrari 612 รวมทั้ง Lamborghini Murcielago ที่วางเครื่องกลาง  ส่วนกลุ่มสูงสุดคือ ultimate group ซึ่งมี McLaren F1 เป็นรุ่นหนึ่งที่มีส่วนเปิดเซกเมนต์เมื่อปี 1993 มีดาวเด่นคือ Mercedes-Benz SLR McLaren, Bugatti Veyron, Porsche Carrera GT และ Ferrari Enzo
 
สำหรับ MP4-12C ค่ายยานยนต์แห่งอังกฤษวางตำแหน่งไว้ใน ‘core’ segment โดยระบุว่าจะนำเทคโนโลยีและสมรรถนะระดับ ‘ultimate’ sector เข้ามาสู่ ‘core’ segment โดยกำหนดผลิต MP4-12C ออกจำหน่ายในปี 2011  เป้าหมายปีแรกกำหนดผลิตจำนวน 1,000 คัน จากข้อมูลที่ McLaren เปิดเผย ถือได้ว่า MP4-12C เป็นซูเปอร์คาร์ไฮเอนด์ที่ “เนียน” ทุกมิติ และเมื่อผสานกับชื่อเสียงของ McLaren ที่มีปรมาจารย์ F1 อย่างรอน เดนนิส เป็นหัวหน้าทีม ทำให้แฟนคลับมีความคาดหวังต่อ MP4-12C สูง ส่งผลทำให้ทีมงานมีความกดดันสูงตามไปด้วย ดังนั้น MP4-12C จึงเป็นทั้งผลงานแรกของบริษัท และรุ่นชี้อนาคตในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ของ McLaren Automotive ว่าจะรุ่งหรือร่วง


ข้อมูลเบื้องต้นของ McLaren MP4-12C

ประเภท  คูเป้ 2 ที่นั่ง
เลย์เอาต์ วางเครื่องกลาง ขับเคลื่อนล้อหลัง
เครื่องยนต์ V8 รหัส M838T ทวินเทอร์โบ 3.8 ลิตร
กำลังสูงสุด ประมาณ 600 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด 443 ปอนด์-ฟุต
เรดไลน์   8,500 รอบ/นาที
ระบบเกียร์ ดูอัลคลัตช์ 7 สปีด
0-100 กม./ชม. ต่ำกว่า 4 วินาที
ความเร็วสูงสุด ประมาณ 320 กม./ชม.
แชสซี คาร์บอนไฟเบอร์
บอดี้ อะลูมิเนียม/พลาสติก
กันสะเทือนหน้า/หลัง ดับเบิลวิชโบน คอยล์สปริง
ล้อหน้า/หลัง อัลลอย 19/20 นิ้ว
กำหนดจำหน่าย ต้นปี 2011

อัลบั้มภาพ 16 ภาพ

อัลบั้มภาพ 16 ภาพ ของ McLaren MP4-12C ซูเปอร์คาร์ไฮเอนด์ เนียนทุกมิติ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook