ATP PERFECT DRIVE R34 M-Spec Nur RB26DETT NISMO FINE SPEC Only 1 In Thailand
สำหรับ R34 ก็ถือเป็น SKYLINE GT-R รุ่นสุดท้าย ก่อนที่จะเป็น GT-R อย่างเดียว ในรุ่น R35 ซึ่งจะไม่มี SKYLINE GT-R อีกแล้วในสารบบ จึงเป็นรถที่คนเล่นรถสปอร์ตญี่ปุ่นพยายามหามาครอบครอง และราคาก็ใช่ย่อย เพราะมีความนิยมสูง อะไรที่เป็นรุ่น “อำลา” ก็เป็นเช่นนี้แหละ คงหนีไม่พ้นเงื้อมมือของ “พี่อั๋น ATP” ที่จะหามาครอบครอง จากการที่เป็นคนชอบ SKYLINE เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอมาคันนี้ ซึ่งเป็นตัว “M-Spec Nur” แท้ ๆ ที่เข้ามาวิ่งเล่นในเมืองไทยเมื่อประมาณ 6 ปีก่อน (เจ้าของรถคนแรก เป็นเด็กมัธยม !!!) พอขายต่อ ก็เลยซื้อมาปรับแต่งใหม่เป็นสไตล์ของตัวเอง ที่เน้น “การขับขี่” แบบสมบูรณ์ ไม่ได้เอาแต่แรงม้ามาก ขอพอประมาณ แต่ “ใช้ได้เต็มคันเร่ง” โดยไม่ต้องมีกั๊ก แรงได้ทุกเมื่อ ทน ขับง่าย มั่นใจ นั่นคือสิ่งที่เจ้าของรถต้องการ โดยเฉพาะ “เครื่องยนต์” ที่เป็น NISMO FINE SPEC เป็น Complete Engine ทั้งตัว เท่าที่เห็นในเมืองไทย ก็มีคันนี้คันเดียวเท่านั้นเอง
The Special Model of R34 GT-R
สำหรับโมเดลพิเศษของ R34 ก็จะมีด้วยกันหลายแบบ ก็ขอเล่าเฉพาะในส่วนหลัก ๆ เพื่อไม่ให้ใช้เนื้อที่มากเกินไป เริ่มกันจาก V-Spec ก่อน ออกมาพร้อมกับ GT-R ธรรมดา ส่วนที่แตกต่างก็มีหลายจุด เช่น เพิ่ม Diffuser ด้านท้าย ช่วงล่างจะเซ็ตให้กระชับ (Stiff) กว่ารุ่นธรรมดา ตัวรถจะเตี้ยลงมาประมาณ 10 มม. วัดรอบจะเป็นแบบ Dual Scale มีสองสเกลในตัวเดียว ช่วง 0-3,000 รอบ สเกลจะถี่ หลังจากนั้นไป สเกลจะห่างออก ถ้าเป็นตัวธรรมดาจะเป็นสเกลเท่ากัน จอ Display ที่คอนโซลกลาง จะมี Feature เพิ่มมาอีกสองอย่าง คือ วัดความร้อนไอดี-ไอเสีย ระบบส่งกำลัง จะเป็น ATTESSA Pro ที่ใช้ไฟฟ้าควบคุมทั้งหมด เป็นที่น่าแปลก ตัว V-Spec กลับขายดีกว่าตัวธรรมดาอย่างมาก แต่คิดแล้วคุ้มกว่า เพราะให้อะไรที่ “เหนือ” กว่าหลายอย่างทีเดียว...
นอกจาก V-Spec แล้ว ก็ยังมีตัว “M-Spec” ออกมาอีก ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นในลักษณะของ Luxury Sport องค์รวมยังเหมือนกับ V-Spec แต่มุ่งเน้นการเซ็ตอัพที่แตกต่างกันบางจุด เพื่อให้เป็น “สปอร์ตที่ขับสบาย” ภายในหรูหราด้วย “หนังแท้” แถมระบบ Heater มาให้ด้วย ช่วงล่างเซ็ตให้นิ่มนวลกว่า V-Spec เน้นขับ “ชิว” มากกว่าจะเอาไปซัดกันจริงจัง นอกจากนี้ ยังมีรุ่น “N1” ออกมาอีก เพื่อเป็นรถที่ให้ผ่าน Homologate ในการแข่งขันเซอร์กิต พูดง่าย ๆ ก็คือ “เป็นรถที่ผลิตมาเพื่อการแข่งขัน” เราคงได้บอกเรื่องนี้กันไปพอสมควรแล้ว ตัวรถ N1 จะเป็นสีขาวธรรมดา อุปกรณ์ช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น ABS แอร์ เครื่องเสียง ปัดน้ำฝนหลัง พรมห้องเก็บของ เหล่านี้ “ไม่มี” เครื่องยนต์เป็น RB26DETT “N1 Spec” ที่มีรายละเอียดต่างกับตัวธรรมดาแบบ “คนละเรื่อง” หน้าตาเหมือนกัน แต่โครงสร้างพัฒนาใหม่หมด โดย NISMO เพื่อให้แข็งแรงพอในการแข่งขันระยะยาว ผลิตออกมา “45 คัน” โดย 12 คัน ทีม NISMO เอาไว้เอง เพื่อทำลงแข่ง SUPER GT ส่วนที่เหลือก็ขายตามปกติ ซึ่งกลายเป็นของหายากแล้วตอนนี้...
ในเดือนสิงหาคม ปี 2000 ออกรุ่น “V-Spec II” มา ก็พัฒนาสมรรถนะให้สูงขึ้นอีกระดับกว่า V-Spec ภายนอกก็มีเปลี่ยนแปลงในบางจุดที่เห็นได้ชัด เริ่มจาก ฝากระโปรง ใช้คาร์บอนไฟเบอร์แทนอะลูมิเนียม พร้อมเจาะช่องดักลมแบบ “NACA” ไว้ที่ด้านซ้ายของฝากระโปรง เปลี่ยนไฟเลี้ยวที่กันชนหน้าเป็นสีขาว เบาะนั่งเปลี่ยนผ้าเป็นสีดำ (ของเดิมสีเทา) ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2002 จะเป็นปีสุดท้ายของ R34 จะออกรุ่นพิเศษที่มีต่อท้ายว่า “Nur” มาจากชื่อสนามแข่งรถ Nurburgring Nordschleife ในเยอรมนี ซึ่งเป็นสนามที่ได้ชื่อว่า “เก่าแก่” และ “โหด” ที่สุด ระยะทางยาวกว่า 20 กม. ต่อ 1 รอบ โค้ง High Speed เกือบตลอด แล้วจู่ ๆ ก็พลิกมุมเป็นโค้งแคบ มีโค้งมากมาย ถ้าผิดไลน์ไปก็หมายถึงความสูญเสีย และนั่นเป็นสิ่งที่ “ท้าทาย” ให้ SKYLINE GT-R ตั้งแต่ R32-R34 รวมไปถึง GT-R R35 เข้าไปใช้สนามในการเซ็ตรถ สำหรับ R34 ที่เป็น Nur Version ก็จะแบ่งเป็น V-Spec II Nur กับ M-Spec Nur ต่างก็ยังใช้พื้นฐานเดิมของแต่ละรุ่นอยู่ แต่สิ่งที่ “พิเศษ” ที่สุด คือ เครื่องยนต์จะเป็น “RB26DETT N1” แล้ว ภายในมีการเปลี่ยน Trim ต่าง ๆ เล็กน้อย เรือนไมล์จะมีความเร็วสูงสุดถึง 300 กม./ชม. (186 ไมล์/ชม.) ในปีนี้ก็เป็นการปิดสายการผลิต R34 อย่างแน่นอน ซึ่งหลังจากนี้จะมีก็แต่ R34 NISMO Z-TUNE ที่ถูกดีไซน์ขึ้นมาหลังจากหยุดสายการผลิต R34 ไป ซึ่ง NISMO ต้องซื้อ R34 มือสองที่มีสภาพดี (Excellent Condition) เข้าไปทำใหม่ จึงขอละตัว Z-TUNE ไว้ก่อน จบที่ตัว Nur Spec ก็แล้วกัน...
RB26DETT NISMO FINE SPEC
สำหรับเครื่องยนต์ RB26DETT ที่เป็น FINE SPEC จะถูกพัฒนาใหม่ โดย NISMO ใช้พื้นฐานเครื่อง N1 ปรับปรุงให้สมบูรณ์แบบที่สุด มันไม่ได้ทำมาเผื่อแรงม้ามากมายระดับ 1,000 PS ขึ้นไป แต่มันจะเน้นเรื่อง Response หรือการตอบสนองการขับขี่ที่ดีกว่าสแตนดาร์ดอย่างมาก แรงม้าไม่ได้เน้นมาก คงอยู่ในราว ๆ 500-600 PS แต่ต้องขับได้ทนทาน ไม่มีปัญหาเรื่องความร้อน พูดง่าย ๆ คือ “รถแรงที่ไร้ปัญหาจุกจิก” ไส้ในก็ยังเป็นของ N1 ความจุ 2,568 ซี.ซี. เท่าเดิม แต่มีการ “ปรับปรุงเคลียแรนซ์” ใหม่ โดย NISMO จะเป็นผู้กำหนดมาให้ พวกอุปกรณ์เคลื่อนไหวต่าง ๆ จับถ่วงดุลใหม่หมด สำคัญคือ “ปรับ Flow ของระบบของเหลวในเครื่องใหม่หมด” เริ่มตั้งแต่ “ระบบหล่อเย็น” ที่ปรับปรุงทางเดินน้ำใหม่ เพิ่ม Flow มากขึ้น ปั๊มน้ำของรุ่น N1 ก็ไม่เหมือนรุ่นธรรมดา (อันนี้ต้องเห็นเองครับ อธิบายลำบาก) และ “ปั๊มน้ำมันเครื่อง” ที่เป็นจุดอ่อนของ RB26 ในเครื่อง N1 ปั๊มน้ำมันเครื่องจะเปลี่ยนแปลงเรื่องของ “เฟืองขบ” ใหม่ ใหญ่กว่าเดิม และองศาของเฟืองจะสัมผัสกันมากกว่า ทำให้การ “รีดแรงดัน” ดีกว่าปั๊มสแตนดาร์ด ก็จะมีผลเรื่องการหล่อลื่น ทำให้ลดทั้งความร้อนและความฝืด เครื่องยนต์มีภาระน้อยลง แรงม้าก็ขึ้นมาเอง...
เครื่อง NISMO FINE SPEC จะถูกขายเป็นแบบ Strip Engine มาตัวเปล่า ๆ ไม่มีอุปกรณ์ภายนอก เช่น เทอร์โบ เกียร์ ท่อร่วมไอดี คือมาตัวเปลือย ๆ เลย พวก Assembly (ส่วนประกอบ) ต่าง ๆ ก็ต้องซื้อเพิ่มเติม มันแปลกอย่าง ของ NISMO มันจะไม่ค่อยทำรูปลักษณ์ให้หวือหวา ทำอะไรออกมาก็จะดูคล้าย ๆ ของเดิม ยี่ห้อก็ไม่ค่อยติด เอาว่าดูแทบไม่ออก แต่ประสิทธิภาพก็คนละเรื่อง อย่าง “ท่อร่วมไอดี” (Intake Manifold) NISMO ก็จะปรับปรุงใหม่หมด โดยกำหนดแรงม้าที่ใช้อยู่ที่ 400-600 PS แล้ว NISMO จะคำนวณว่าจะต้องสร้างอย่างไรถึงจะเหมาะสมกับแรงม้าช่วงนี้ที่สุด เน้นไปในการตอบสนองที่ดีเป็นหลัก...
สิ่งที่เปลี่ยนแปลง (เท่าที่หาข้อมูลเจอ) ก็จะมีตั้งแต่ ขนาดความจุของ Surge Tank เพิ่มเป็น “4.1 ลิตร” (ของเดิม 3.4 ลิตร) ความยาวท่อไอดี ช่วงก่อนจะเข้าพอร์ตเสื้อสูบ เพิ่มเป็น “73.8 มม.” (ของเดิม 48.5 มม.) และทำ Taper เป็นทรงกรวย ทางเข้า 43 มม. บานเป็น 45 มม. (ของเดิม 45 มม. เท่ากันหมด) วัสดุเป็น Cast Aluminum หรือ “อะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป” ที่ NISMO ผลิตขึ้นมา ก็เพื่อเพิ่ม Flow ในช่วงรอบกลาง ๆ ให้มากขึ้น (อย่างที่รู้กันว่า RB26 กำลังจะมาเยอะตั้งแต่ 5,000 รอบขึ้นไป) ก็มีผลให้มีการตอบสนองที่ดีขึ้น ซึ่งสไตล์การโมดิฟายของ NISMO จะไม่เน้นการบ้าพลัง คลั่งแรงม้า แต่จะเน้นรถที่ขับดีทั้งในทางตรงและทางโค้ง เครื่องที่ตอบสนองดี ๆ เนียน ๆ จะสามารถควบคุมรถได้ง่าย รถเสียอาการน้อย ก็ “เร็ว” ขึ้น โดยเฉพาะในทาง Circuit จะเห็นได้ชัดเป็นพิเศษ รวมถึงการใช้งานทั่วไปบนท้องถนนด้วย...
MAX POWER : 497 hp @ 7,968 rpm
MAX TORQUE : 473 N-m @ 6,135 rpm
DYNAMOMETER : POWER LAB
กราฟแรงม้าของคันนี้ ยังคงยืนยันนิสัยของ RB26DETT ได้ เพราะกราฟมันจะ “เชิดปลาย” ขนาดใช้ทวินเทอร์โบขนาดเล็กแล้ว ก็ยังมีลักษณะนี้อยู่ กราฟแรงม้า (สีแดง) ช่วง 3,000 รอบ ไม่มีอะไรเลยครับ แรงม้าไม่ถึงร้อยด้วยซ้ำ ในช่วงที่ใช้งานในเมือง ต้องออกรถบ่อย ๆ จะไม่ค่อยมีแรง เพราะกำลังน้อย มาเจอน้ำหนักรถกว่า 1.5 ตัน ก็เป็นผล ทำให้กินน้ำมันมากด้วย จึงเป็นจุดอ่อนของ RB26 ที่จะเน้น “เล่นรอบ” วิ่งยาว ๆ มากกว่า จะมีกระเตื้องขึ้นตั้งแต่ 5,500 รอบ มีแรงม้า 280 hp หลังจากนี้เสียงเครื่องจะเริ่มทะยานขึ้นต่างไปจากเดิมอย่างชัดเจน ดูกราฟก็จะเชิดมุมขึ้น ชันกว่าเดิม ช่วง 6,000 รอบ ได้มา 400 hp หลังจากนี้ไป กราฟก็จะพยายามขึ้นไปอีก ตอนแรกวัดสุดที่ 7,500 รอบ กราฟก็ยังไม่ตก ได้มาประมาณ 480 hp ขอลองเพิ่มอีก 500 รอบ (การกำหนดรอบสูงสุด ถ้ามาวัดกับเรา ก็จะถามเจ้าของรถ, ช่าง, จูนเนอร์ ก่อน ว่าจะเอาเท่าไหร่ เราไม่มีสิทธิกำหนดเอง จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง) เป็น 8,000 รอบ ได้แรงม้าสูงสุด “497 hp” ซึ่งกราฟดูเหมือนจะพยายามไปต่ออีกหน่อย เพราะยังเชิดหัวขึ้นอยู่ คิดว่าถ้าปล่อยไปอีก 500 รอบ น่าจะได้เกินกว่า 500 hp แน่นอน ส่วนกราฟแรงบิด (สีเขียว) ไม่มีอะไรแตกต่างกัน บุคลิกก็คือ ต้องลากรอบสูง เปลี่ยนเกียร์ให้อยู่ไม่ต่ำกว่า 5,500 รอบ ก็จะไปดี คันนี้วิ่งบนถนนทั่วไปได้ แต่ที่จะแสดงกำลัง จะอยู่บน “ไฮเวย์” ยาว ๆ เหมาะมากกับการใช้ “ตีนปลาย” เพราะกำลังสูงสุดอยู่ช่วงนั้น...