น้าเน็ค – เกตุเสพย์สวัสดิ์ เพราะรถผมคือรถใหม่อยู่เสมอ
เพียงเราไม่ยอมปล่อยให้เรื่องบางเรื่องผ่านกาลเวลา ของที่วันนี้เราซื้อมาใหม่ อีก 20 ปีมันอาจจะเก่าในสายตาหลายคน แต่หากเรารักมัน มันจะคือของใหม่ในสายตาของเราตลอดเวลา
หลายคนรู้จัก น้าเน็ค - เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ในฐานะพิธีกรอารมณ์ดี ในอีกมุมหนึ่งของผู้ชายคนนี้ เค้าจัดเป็นที่มีสไตล์และแนวคิดเป็นของตนเอง มีมุมมองที่แปลกและแตกต่าง แม้แต่เรื่องรถสะสมของน้าเน็ค ที่ไม่ใช่แค่รถเก่า แต่มันเป็นรถใหม่ที่ให้ความสุขทางใจของเขาเสมอ
“พ่อผมเป็นคนชอบรถ ท่านมีอยู่หลายคัน ฟอร์ด มัสแตง ในสมัยที่ท่านหนุ่มๆ ของพวกนี้ก็เป็นของใหม่ มัสแตงเป็นรถในปี 1965กับ1969 ซึ่งปี 1969 เป็นปีเกิดของผม ซึ่งพ่อผมก็อายุ 30 กว่า ผมโตมา ผมเห็นมัน ผมผูกพันกับมา เมื่อผมโตขึ้น ความรู้สึกของผมที่มีต่อของเหล่านี้มันไม่ได้หายไปใหน ผมอยากจะเห็นมัน อยากจะมีไว้ใกล้ตัว พอเราไม่ยอมปล่อยให้มันผ่านการเวลา เพราะเรายังรู้สึกดีกับมันอยู่ ในสายตาคนภายนอกอาจจะมองคือรถคลาสสิค รถเก่าไปแล้ว แต่สำหรับเรามันยังเป็นรถใหม่อยู่เสมอ อยู่ในความทรงจำ ผมไม่ได้ชอบมันเพราะมันเก่า แต่ผมชอบมันตั้งแต่ไหนแต่ไร”
สำหรับคลาสสิคคาร์คันแรกของน้าเน็คคือ มัสแตง 1966 น้าเน็คบอกว่าเหมือนสวรรค์ดลใจให้เขาขับรถไปเจอแถวๆ บางกรวย ใกล้วัดสวนแก้ว เป็นอู่รถเก่า เลี้ยวเข้าไปถามดูว่ามีมัสแตงไหม ภาพแรกที่เห็นเหมือนอย่างกับในหนัง เหมือนมีไฟโฟโลว์สาดใส่มาที่ซากเจ้ามัสแตงคันนี้ แต่สิ่งน้าเน็คเห็นมากกว่านั้น คือภาพหน้าตาเจ้ามัสแตงคันนี้หลังการยกเครื่องใหม่จะเป็นอย่างไร เพราะแม้น้าเน็คจะยังไม่มีคลาสสิคคาร์แต่เขาก็มีหนังสือเกี่ยวกับมัสแตงเกือบทุกเล่มเท่าที่โลกนี้จะผลิตมา ก็เลยตัดสินใจซื้อรถคันนี้เลย ซึ่งวันนั้นคือวันที่ 14 กุมภา และตั้งชื่อรถคันนี้ว่า ''วาเลนไทน'' ชื่อเล่นว่า ''โรส'' เพราะเขาสีแดง
มัสแตงคันนี้เป็น ''รถเพื่อการศึกษา'' เป็นคำที่คนในวงการเล่นรถเก่าเขาใช้เรียกเพื่อหยอกกัน เอาไว้เรียกสำหรับคนที่ทำรถแพงเกินเหตุ ทำไม่จบซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะพอคิดจะเข้าสู่วงการรถคลาสสิค สิ่งที่จะต้องเจอคือโดนหลอก ซื้อของแพงโดยใช่เหตุ เจอช่างไม่ดี เจอคนเลว เสียค่าโง่กับค่าคัสตอมชิพปิ้ง สั่งของเข้ามาแล้วไม่สามารถออกจากสนามบินได้ เพราะภาษีชิพปิ้งสูงมาก ซึ่งสำหรับบางคัน 6 เดือนก็สามารถเอาออกขับมาได้ แล้ว แต่ก็เป็นแบบขับไปซ่อมไป จอดซ่อมตลอด
สำหรับรถที่น้าเน็คช้เวลาในการบูรณะนานที่สุดคือมัสแตง 1969 เพราะตอนที่ได้มาจากเจ้าของเดิมวางเครื่องญี่ปุ่น ผมก็ยกเครื่องเดิมออก แล้วทำเครื่องเดิมที่เป็นเครื่อง 8 สูบเครื่องV8 ของมัสแตง ถ้าจนสิ้นปี 53 ก็จะครบ 6ปี ในการอยู่ที่อู่เพื่อทำแต่เครื่อง ซึ่งตามกำหนดการช่างก็ได้ยืนยันว่าจะเสร็จในปลายปีนี้
เมื่อถูกถามว่าเคยท้อกับการรอคอยใหม่ สำหรับคนเล่นรถเก่าแล้วน้าเน็คบอกว่าช่วงที่สนุกที่สุดคือช่วงที่ทำมันนี่แหละ เพราะพอเมื่อรถเสร็จอารมณ์ก็จะเปลี่ยนไปอีกแบบ ก็จะแค่เป็นการเอาออกไปใช้ เอาออกมาขับบ้าง รถในปี 65-69 ให้ถอยรถออกมาจากโชว์รูมในปีนั้นเลย แต่หากข้ามไทม์แมชชีนมา สมรรถภาพของเครื่องยนต์มันก็ต่างกันอยู่แล้ว มีแค่ความสวยงามของมันเท่านั้นที่ยังอยู่ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือการทำนี่แหละ อยากเห็นมันเป็นซาก เคาะเป็นตัวถัง ได้พวงมาลัยมาใหม่ กว่าจะได้มาแต่ละชิ้นมันคือความสุข แล้วทุกบาททุกสตางค์ที่ลงไปมันมีคุณค่าในตัวมัน
ความแตกต่างเรื่องการดูแล รถปัจจุบันเราไม่จำเป็นต้องเข้าใจมันมากก็ได้เพราะมีปัญหาก็สามารถขับเข้าศูนย์ได้ แต่หากเป็นรถคลาสสิค คุณจะต้องเข้าใจมันมากๆ คุณต้องรู้ว่าสายนี้มันลากมาจากตรงไหน มันต่อมาจากตรงไหน ประตูยึดด้วยน็อตอะไร เพราะคุณเป็นคนไปเฝ้ามันตั้งแต่มันเป็นซาก ถึงคุณไม่อยากรู้คุณก็จะรู้เอง เพราะหากคุณเป็นคนทำรถเอง เอาอะไหล่ออกมาวาง คุณก็จะบอกได้ว่าเป็นอะไหล่จากตรงไหน หากบอกได้ขนาดนี้คงไม่ต้องถามถึงว่าวิธีดูแลรถทำอย่างไร
น้าเน็คทิ้งท้ายการสัมภาษณ์ไว้ได้น่าสนใจมากสำหรับคนที่สนใจจะเข้าสู่วงการรถคลาสสิค คนเล่นรถเก่าการมีเงินอย่างเดียวคงไม่พอ แต่ต้องโง่ด้วย แต่ขอต่อท้ายว่าความโง่ที่เกิดขึ้นกลับทำให้มีความสุขมาก เราเสียเงินซื้อเงินซื้อความสุขด้วยเรื่องโง่เยอะมาก ถามถึงความคุ้มค่าคงหากับมันไม่ได้ แต่หากจะประเมินค่าก็คงประเมินมันไม่ได้ แต่หากคุณชอบมันจริง ยังไงคุณก็มีครอบครอง คุณต้องรู้ราคา รู้คุณค่ามัน คุณก็ต้องไปทำงานเก็บเงิน เพื่อที่จะได้มาครอบครอง ถ้าคุณชอบจริงขนาดนั้น ความรู้รัก ก็คงไม่ต้องบอกว่าคุณจะต้องทำอย่างไร
หมายเหตุ : ตอนนี้รถคลาสสิคที่น้าเน็คมีอยู่ทั้งหมด 4 คัน คือ มัสแตงปี 1965 มัสแตงปี 1969 เปอร์โย 504 และเบนซ์หางปลา ทั้งหมดยังอยู่ในอู่จ้า......
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ