อนิจจังป้ายแดงเกลื่อน..เตรียมตัวรถติดเพิ่ม..ทางออกอยู่ตรงไหน?
หลังจากออกมาประกาศกันอย่างเป็นทางการกันแล้วว่า ในปีนี้ นับตั้งแต่ต้นปี จนถึงเมื่อเดือนที่แล้วประเทศไทยมียอดขายรถยนต์ใหม่ทุกกลุ่มโดยเฉลี่ยแล้ว ตัวเลขพุ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน แม้นี่จะเป็นสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจที่น่าจะถือว่าดีขึ้น จากภาวะอัดอันทางการเมืองที่ถึงจุดอิ่มตัว ทว่าท้ายที่สุดแล้วเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า “รถเพิ่มแต่ถนนไม่มีจะวิ่ง”
ตัวเลขที่บ่งชี้ชัดเจนจากเมื่อช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ที่ทางบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ออกมาประกาศความสำเร็จทางด้านยอดขายทั้งในกลุ่มรถยนต์นั่งและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งได้บอกกล่าวว่า ปีนี้คนไทยออกรถใหม่ไปแล้วกว่า 422,364 คัน หรือเพิ่มขึ้น 53.8 % นับว่าเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสภาวะการจราจรที่จะต้องหนาแน่นมากขึ้นกว่าเดิม
ส่วนหนึ่งที่ทำให้รถยนต์มีตัวเลขพุ่งกระฉูดอาจมาจากสภาวะทางการเมืองที่ร้อนแรงกันมาตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปี ทำให้หลายคนไม่กล้าจะจับจ่ายใช้สอยมากนัก แต่ถ้ามองถึงความเป็นจริงที่ลึกลงไปในตลาดรถยนต์ จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ๆในกลุ่มรถนั่ง โดยเฉพาะซิตี้คาร์ ถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตัวเลขยอดขายรถยนต์พุ่งทะลุเป้า
ซิตี้คาร์เป็นรถยนต์นั่งกลุ่มใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นบ้านรวยหรือผู้ที่เริ่มทำงานต่างมองหาการเดินทางที่สะดวกสบายและเป็นส่วนตัวกันทั้งนั้น ด้วยราคาที่ไม่แพงโดยเฉพาะอัตราการผ่อนชำระที่ปัจจุบันค่ายรถบางค่ายให้ได้มากสุดถึง 84 เดือน หรือ 7 ปี ทำให้ยอดผ่อน เมื่อรวมกับดอกเบี้ยและตกอยู่ที่ไม่เกิด 5000 บาท หรืออาจจะมากกว่าเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับรถยนต์กลุ่มอื่นๆ
ยอดขายที่ไม่แพงประกอบกับแรงกระตุ้นตลาดจากกลุ่มผู้ผลิต ทำให้รถนั่งกลุ่มซิตี้คาร์นี้กลายเป็นรถยนต์ที่ซื้อง่ายขายคล่องกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีโคคาร์จากค่ายนิสสันด้วยแล้ว ผ่านมาเพียง 3 เดือนมีขับกันเกลื่อนถนนทำให้เป็นคำตอบที่ดีว่า ทำไมยอดขายรถยนต์รวมถึงพุ่งขึ้นจนค่ายรถยนต์ยิ้มกันไม่หุบ
แม้สถานการณ์ที่ดีจะบ่งบอกถึงเรื่องดีๆ แต่ส่วนหนึ่งของสังคมถนนที่ไม่ค่อยมีการขยับขยายเส้นทางใหม่ โดยเฉพาะในเขตมหานครนั้น กลับกลายเป็นเรื่องราวสุดทุกข์ของผู้ใช้รถยนต์อยู่เดิม ซึ่งถนนเมืองไทยดั้งเดิมนับจากปี 2532 – สิ้นปี 2552 จากข้อมูลกรมขนส่งทางบกระบุว่า ทั้งประเทศมีรถยนต์ขึ้นทะเบียนกว่า 27.2 ล้านคัน (เฉพาะในส่วนของรถยนต์ส่วนบุคคล) ซึ่งหมายความว่า ปัจจุบันบนถนนเมืองไทยมีผู้ใช้รวมทั้งสิ้นกว่า 27 ล้านคนเลยทีเดียว
ทั้งนี้เมื่อรวมกับตัวเลขล่าสุดที่ประกาศออกมาเราจะพบว่ายอดผู้ใช้ถนนเดิมเมื่อรวมกับตัวเลขใหม่จะทำให้ ปัจจุบันถนนในเมืองไทยมีรถยนต์มากกว่า 28 ล้านคันเลยทีเดียว และหากเจาะจงไปที่เขตกรุงเทพและปริมณฑล ซึ่งถือเป็นกลุ่มหลักที่มีการใช้รถยนต์เป็นประจำ จากสถิติเดิมมีอยู่แล้ว 6.1 ล้านคัน เมื่อเฉลี่ยกับพื้นที่ทั้งหมดในกรุงเทพมหานครที่มีพื้นที่รวม1,569 ตารางกิโลเมตร จะพบปัจจุบันนี้ในพื้นที่ 1 กิโลเมตร จะมีรถยนต์มากถึง 3,887 คันเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อรวมยอดรถใหม่แล้ว คาดการณ์ว่า น่ามีตัวเลขที่ 4100 คันต่อ 1 ตารางกิโลเมตร
อย่างไรก็ตามต้นเหตุของปัญหาของสังคมถนนปัจจุบันที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งมีผลมาจากการแลกรถเก่าเป็นรถใหม่ที่ดึงดูดใจจากบรรดาโชว์รูม ทั้งหลายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งรถยนต์เก่าเหล่านี้เมื่อเข้าสู่การขายทดตลาด มันก็จะถูกนายทุนส่วนมากซื้อไปเพื่อหวังขายทำกำไรเพิ่มเติม่ ซึ่งเรามักจะรู้จักพวกเขา ในนามเต๊นท์รถยนต์นั่นเอง
เคน (นามสมมุติ) นายหน้าธุรกิจรถมืองสอง ย่านถนนกาญจนาภิเษก แหล่ง ซื้อ-ขาย รถยนต์ใหญ่ในเขตกทม. แสดงความเห็นว่า เราปฏิเสธไม่ได้ ที่เราเป็นส่วนหนึ่งในปัญหาที่ทำให้ถนนเมืองไทยเต็มไปด้วยรถยนต์เพิ่มสร้างภาะในการจราจร แต่ทั้งนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีกำลังทรัพย์พอที่จะเลือกซื้อรถใหม่ป้ายแดง และเราในฐานะคนขายรถยนต์มือสองก็ตอบสนองด้วยรถยนต์ที่แม้จะผ่านการใช้งานมา แต่ก็ยังสภาพดีและขับใช้งานได้ปกติ เพียงแต่ไม่เป้นที่ต้องการของเจ้าของเดิม
นี่เป็นคำกล่าวของผู้ที่อยู่เบื้องหลังกิจการรถยนต์มือสอง ที่ให้แนวคิดเกี่ยวกับรถยนต์มือสองที่รถยนต์เหล่านี้หากเทียบเป็นปริมาณรถยนต์ทั้งหมด น่าจะมีอยู่มากกว่า 20% เลยทีเดียว ที่รอการขายหาคนกลับเป็นเจ้าของเพื่อกลับมาวิ่งบนถนนอีกครั้ง แล้วรอกลับมาวิ่งบนถนนอีกครั้ง นี่อาจกล่าวได้ว่ารถยนต์ในประเทศไทยทุกวันนี้มีแต่การขยายตัวไม่มีการคุมกำเนิดรถยนต์ ทำให้ถนนเต็มไปด้วยรถยนต์
อาจจะถูกที่ใครใคร่ค้า..ค้า แต่ทว่าปัญหาที่เกิดในปัจจุบันทุกวันนี้บนสังคมถนนเมืองไทยนั้น กลับกลายเป็นปัญหาที่มากกว่าแค่รถติด เมื่อสัก 20 ปีที่แล้วมีโฆษณาชิ้นหนึ่ง พูดถึงชีวิตเด็กสมัยนั้นแล้วแซวว่า “โตในรถ” แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่นั้นแต่กลับกลายเป็นผลกระทบวงกว้าง ที่กำลังส่งผลถึงปัญหาครอบครัว ที่ทุกคนต้องแห่ออกไปทำงานตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่สว่างเพียงเพื่อหนีรถติด
ส่วนหนึ่งของปัญหาเราคงต้องยอมรับว่า มีผลมาจากการดำเนินการแก้ไขปัญหาจราจรที่ไม่จริงจัง แม้จะมีความพยายามในการเพิ่มระบบขนส่งมวลชนเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร แต่ทว่าระบบขนส่งมวลชนสุดเบสิคต่างๆ กลับยังขาดความปลอดภัย และควรจะมีสมรรถนะในการทำเวลา ซึ่งควรจะดีกว่าหรือเท่ากับการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล
เมื่อประกอบกับการตัดถนนที่แทบไม่สามารถขยายได้ในเขตเมืองหลวง และการไม่คุมกำเนิดรถยนต์ รวมถึงใบอนุญาติขับขี่ที่ทำได้ง่ายแต่ไร้คุณภาะ ข้อปัญหาเหล่านี้ทำให้ปัญการจราจร โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพกลายเป็นปัญหาดินพอกหางหมูที่ไม่สามารถแก้กันไม่จบไม่สิ้น แม้จะมีพ่อเมืองคนใหม่ๆเข้าบริหารก็ตาม
อย่างไรก็ดีในฐานะผู้ใช้รถใช้ถนน เราอยากจะเสนอแนวคิดให้กับหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องว่า น่าจะมีการจำกัดอายุการใช้งานรถยนต์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะรถเก่าๆ ที่มีอายุมาก ให้มีการจัดเก็บภาษีมากยิ่งขึ้นหรือต้องทำให้อย่ในสภาพที่สมบูรณ์มากที่สุด แล้วไปลดภาษีการนำเข้าให้ผู้ผลิต ทำให้รถยนต์มีราคาถูกลง แล้วคนจะสนใจเปลี่ยนรถยนต์เป็นรถใหม่มากขึ้น ในขณะเดียวกันในกลุ่มรถเก่าต้องมีการจำกัดวงผู้ใช้มากขึ้น และต้องจัดมีการดำเนินธุรกิจทุบทำลายรถยนต์ที่ไม่ใช้แล้ว หรือแยกชิ้นส่วนเพื่อป้อนเข้าสู่สายการผลิตรถใหม่ ซึ่งแนวทางแบบเดียวกันนี้ถูกใช้ในยุโรปและอเมริกา ทำให้ยอดรถยนต์บนถนนไม่เฟ้อและผู้ผลิตก้ยังมียอดขายดี
ทั้งนี้เราอาจจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ถนนคงจะขยายเพิ่มโดยทันทีเพื่อตอบสนองการจราจรที่นับวันจะคราคร่ำไปด้วยผู้คนไม่ได้ ทว่าเราทุกคนช่วยกันได้หากลดเห็นความสบายส่วนตัวแล้วนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมที่เราทุกคนควรจะช่วยกันลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล แล้วหันไปใช้การขนส่งสาธารณะหากทำได้ ไม่แน่คุณอาจประหยัดเงินในกระเป๋ามากกว่าที่คุณคิดเสียอีก
ภาพประกอบจาก Getty image.com
Sanook! Auto Comment
เรื่องรถติดกับประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตกทม.นั้น เป็นปัญหาที่เราเคยได้ยินกันมานมนาน และมีความพยายามการแก้ปัญหาไประดับหนึ่งด้วยรถไฟฟ้า ทั้งใต้ดินและลอยฟ้า แต่ก็ยังไม่สามารถลดเรื่องการจราจรติดขัด ที่มักเกิดขึ้นในการเข้ากรุงในชั่วโมงเร่งด่วนได้ แต่ทั้งที่เราคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ยอดรถใหม่ที่เพิ่มขึ้นต้องทำให้ถนนเมืองไทยมีการจราติดขัดยิ่งขึ้น ซึ่งเราควรใช้กันคนละไม้คนละมือลดการใช้รถยนต์หากการเดินทางมีความสะดวก