รู้ก่อนซื้อ ...ประเภทรถยนต์มันมีกี่แบบกันแน่นะ (ตอนที่1)

รู้ก่อนซื้อ ...ประเภทรถยนต์มันมีกี่แบบกันแน่นะ (ตอนที่1)

รู้ก่อนซื้อ ...ประเภทรถยนต์มันมีกี่แบบกันแน่นะ (ตอนที่1)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปัจจุบันในวงการอุตสาหกรรมผู้ผลิตยานยนต์ แม้เราจะรู้จัก รุ่น ยี่ห้อ หรือแบบรถที่ชอบ แต่วงการรถยนต์นั้นมันซับซ้อนกว่าที่เราคาดอย่างมาก และในวันนี้ถ้าใครกำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคัน คุณเคยทราบหรือไม่ว่า เจ้ารถ 4 ล้อใช้งาน ที่จะเป็นพาหนะการเดินทางนั้น แท้ที่จริงมันมีกี่แบบกันแน่?

มีคนจำนวนมากที่ไม่เคยคิดคำถามนี้กับตัวเองก่อนจะเดินเข้าโชว์รูม เพียงเพื่อตอบสนองต่อตัวเองถึงความสวยงามภายนอกที่อาจไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้งานจริงของคุณก็เป็นไปได้ แล้วรถแบบไหนเหมาะกับความเป็นคุณ สรุป มันมีกี่ประเภทวันนี้ เราจะพาคุณๆไปรู้จักกัน

 

Micro Car

 

อาจจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมาในหมู่บ้านเรา แต่ถ้าเราแปลตรงตัวจากภาษาอังกฤษนั้น ก็จะได้ว่า “รถจิ๋ว” ซึ่งบ้านเรามักจะเรียกตามวิธีของ Euro Car Segment ที่ค่ายรถยนต์หลายเจ้าชอบเอามากล่าว รถรุ่นนั้นมันจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม A-Segment Mini Car

รถประเภทนี้ความจริงในประเทศไทยก็มีวางจำหน่ายเหมือนกัน โดยเฉพาะเจ้าเบนซ์สมาร์ท 2 ที่นั่ง ที่รถในประเภทดังกล่าวจะถูกออกแบบให้ตอบสนองได้เป็นอย่างที่เขตเมืองที่มีถนนหนทางค่อนข้างแคบ โดยเฉพาะในแถบยุโรป จึงไม่แปลกใจนัก หากเราจะพบว่า รถในกลุ่มนี้ โดยมากจะเป็นรถที่มาจากค่ายรถยนต์ทางยุโรป

รถกลุ่มนี้เดิมทีในช่วงปี 1940 มันถูกเรียกว่า “cycle Car” ก่อนที่ 20 ปีให้หลังมันจะถูกเรียกว่า” Bubble Car” โดยวิธีจำแนกว่ารถเป็นรถ Micro Car หรือไม่ สามารถตัดสินได้ที่ จำนวนที่นั่งที่มีเพียง 2 ที่นั่งคนขับและผู้โดยสาร 1 คน เครื่องยนต์มีขนาดไม่เกิน 500 cc ความยาวของตัวรถไม่เกิน 3 เมตร และมิติในห้องโดยสารนั้น มีปริมาตร 2400 ลิตรเท่านั้น

 

Sub Compact Car

รถรุ่นนี้บ้านเราน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับรถกลุ่ม B-Segment Small Car หรือที่เราเรียกันติดปากว่า “ซิตี้คาร์” นั่นเอง ความจริงแล้ว City Car นั้นเป็นรถเพียงรถประเภทหนึ่งที่อยู่ในประเภทนี้ ซึ่งหากจัดตามจริงแล้ว มันยังคงเป็นรถยนต์ที่ก้ำกึ่งระหว่าง Micro Car และ Sub Compact Car ด้วยซ้ำ

ในกลุ่ม City Car ปัจจุบันมีรถที่ถูกผลิตขึ้นในรถยนต์กลุ่มนี้มากมายหลายรุ่นและที่วางจำหน่ายในประเทศไทยก็มีอธิ Nissan Marchและ toyota Yaris ซึ่งรถกลุ่มนี้ยังรวมไปถึงรถกลุ่มที่ทางประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า K-Car โดยเครื่องยนต์มักจะเริ่มตั้งแต่ 500 cc จนมาถึง 1000 cc

ถัดจาก City Car มา ก็จะเป็นกลุ่ม Super Mini Car ที่คำนี้ถูกเรียกเป็นครั้งแรกในนิตยสารในประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1978 แม้เราอาจจะคุ้นเคยรถยนต์นั่งในกลุ่มนี้เช่นเดียวกับในกลุ่ม City Car แต่เป็นที่น่าแปลกว่ารถในกลุ่มนี้มันถูกจัดให้อยู่ในประเภท B-Segment ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกเล็กน้อย ซึ่งได้แก่ Ford Fiesta,Nissan Tida หรือจะเป็น รถมินิ ออสตินปี 1963 ทำให้เป็นที่น่าสังเกตว่ารถที่ถูกจัดไว้ในกลุ่มนี้จะเป้น แฮทช์แบ็คแทบทั้งสิ้น

อย่างไรก็ดีปัจจุบันรถทั้ง 2 ประเภทที่ถูกจัดในประเภท Sub Compact นั้นเราจะเรียกมันโดยรวมว่า City Car ซึ่งเราจะจำแนกได้โดยปริมาตรภายในห้องโดยสารที่ต้องมีขนาดมวลรวมระหว่าง 2407-2803ลิตร และเครื่องยนต์ที่มีขนาดไม่เกิน 1.5 ลิตร

 

Compact Car

รถยนต์นั่งเล็กเหล่านี้เป็นรถที่ขายดีที่สุดแทบจะในทุกตลาดเลยก็ว่าได้กับกลุ่มรถนั่งครอบครัวขนาดเล็ก ที่บ้านเรายังขายดี รถรุ่นนี้สามารถจำแนกได้จากโครงสร้างตัวถังที่มีขนาดใหญ่กว่ารถใน 2-3 กลุ่มแรกอย่างชัดเจนด้วยความยาวของตัวถังที่เริ่มต้นที่ 4.1 เมตร และยาวสุดที่ 4.4 เมตร สำหรับรุ่น 4 ประตู และ 4.45 เมตร สำหรับ 5 ประตู

รถยนต์ในกลุ่มคอมแพ็คคาร์โดยมากจะพกเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1.5 -2.4 ลิตร มีกำลังระหว่าง 100 แรงม้า – 170 แรงม้า ซึ่งในบางครั้งมันจะมาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.3 และ 1.4ลิตร หรือบ้างก็ถูกปรับโฉมสไตล์แบบสปอร์ตมาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 2.0 2.5 หรือบางครั้งก็พกขุมพลัง V6 3.2 ลิตรมาจากโรงงานเลยทีเดียว

สำหรับรถยนต์ประเภทนี้ที่จำหน่ายในตลาดบ้านเรามีมากมายหลายรุ่นได้แก่ Honda civic,Mitsubishi Lancer EX,Toyota Altis และอีกมากมายหลายรุ่น ซึ่งบางครั้งค่ายรถหลายเจ้าเรียกรถยนต์กลุ่มนี้ว่า C -Segment

Mid-Size Car และ Entry Excutive Car

 

เริ่มใหญ่ขึ้นมาอีกขั้น สำหรับรถยนต์นั่งในขนาดกลาง หรือที่หลายคนเรียกว่า “Mid-size Car” รถนั่งขนาดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในทวีปยุโรปบางครั้งเราจะได้ยินพวกฝรั่งเรียกว่า “Large Family Car หรือ Excutive Car”

รถประเภทนี้สามารถจำแนกได้จากระยะฐานล้อเป็นหลักที่อยู่รหว่างที่ 2667 มม.-2794 มม. และพื้นที่ในห้องโดยสาที่กว้างขวางมีปริมาตรรหะว่าง 110 คิวบิคฟุต – 119 คิวบิคฟุต รถประเภทนี้ที่วางจำหน่ายในบ้านเราก็ได้แก่ Honda Accord,Hyundai Sonata, Toyota Camry ,BMW Series 5 เป็นต้น โดยถ้ามองในเรื่องราคาจะมีระดับตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป

ทั้งนี้รถในกลุ่มนี้ยังมีอีกประเภทที่เรียกว่า “Entry Excutive Car” ซึ่งเป็นประเภทรถที่เกิดขึ้นในแถบทวีปยุโรป ซึ่งรถในกลุ่มดังกล่าวอาจจะมีขนาดเล็กกว่ารถขนาด Mid-Size เล็กน้อย แต่ทางด้านสมรรถนะแล้วมันกลับมาพร้อมระบบช่วงล่างสุดหนึบ เครื่องยนต์ทรงพลัง และการตบแต่งภายที่ดีกว่า รถในกลุ่มทั่วไปที่เราอาจจะพอเคยเห็นในรถระดับพรีเมียม อาทิ รถยี่ห้อ Lexus ซึ่งทั้ง 2 ประเภทนี้ถูกจัดในกลุ่ม D-Segment

 

Full Size- Car

 

บางครั้งรถยนต์กลุ่มนี้เราก็มักจะได้ยินหลายคนเรียกว่า “ Family Car” ที่ถูกจำกัดความขึ้นในประเทศ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

รถเก๋งขนาดใหญ่นี้มีมานานแล้วและได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อน ช่วงปี 1970 หลังวิกฤติน้ำมันในช่วงเวลาดังกล่าว รถประเภทนี้ก็ได้รับความนิยมน้อยลงไปตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน นี่เองเป็นจุดแปรผันที่ทำให้รถยนต์นั่งประเภทนี้พัฒนาตัวเองกลายเป็นรถยนต์กลุ่มรถหรูไปในตัว


หากอยากรู้ว่ารถที่ใช้เป็นรถยนต์นั่งขนาดใหญ่หรือไม่ ก็เพียงมองหาแคตตาล็อกแล้วลองดูว่ารถคุณมีขนาดความยาวตั้งแต่ 5,000 มม. ขึ้นไปหรือไม่ หากเป็นในรุ่นรถหรูอาจจะยาวถึง 5,250 มม. และมีระยะระหว่างฐานล้อที่ 2,790 มม. นอกจากนี้ภายในห้องโดยสารยังต้องมีขนาดกว้างขวางมากถึง 3,300 ลิตรอีกด้วย

เหล่านี้เป็นเพียงประเภทรถโดยรวมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ที่แม้จะจำแนกด้วยขนาดแต่ก็ยังมีรถยนต์ในกลุ่มรถนั่งอีก 2 ประเภทพิเศษ ที่ถือว่าไม่เข้ากลุ่มเหล่านี้ คือ Luxury Car หรือรถยนต์หรู ที่ถูกกำหนดให้เป็นรถยนต์ที่มีความแตกต่างพิเศษจากรถรุ่นอื่นๆในตลาด มีการใช้วัสดุต่างๆที่ดีกว่า และรถแบบนี้เป็นรถยนต์นั่งในกลุ่ม F-Segment ของตลาด


ส่วนอีกกลุ่มที่ได้รับการกำหนดพิเศษขึ้นมานั้นเป็นรถยนต์ในกลุ่มรถสปอร์ตทุกประเภท ตั้งแต่ธรรมดา ทัวร์ริ่งคาร์ โรดสเตอร์ หรือกระทั่งซุปเปอร์มูลค่าหลายล้านบาท รถเหล่านี้ เป็นรถยนต์กลุ่มพิเศษที่เรียกว่า S-Segment Sport Coupe

ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการจำแนกประเภทรถที่ถูกต้อง ซึ่งมีประโยชน์ในเชิงการเปรียบเทียบราคาและคุณภาพ รวมถึงความคุ้มค่าในการตัดสินใจเลือกซื้อ ซึ่งแม้บางครั้งจะมีความใกล้เคียงกันในเชิงราคา แต่มูลค่าเม็ดเงินและประโยชน์ใช้สอยที่ได้กลับมานั้น นับว่าแตกต่างกันพอสมควรเลยทีเดียว....ในคราวหน้าเราจะกลับมาพร้อมประเภทรถที่เหลือ โดยเฉพาะในกลุ่มรถพิเศษที่ต้องไม่ควรพลาดกัน

ภาพประกอบบางส่วนจาก Wikipedia.com

Sanook! Auto Comment

 

ประเภทรถยนต์เหล่านี้เป้นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อต้องการจะเลือกซื้อรถยนตืที่มีราคาต่างกันผ่อนแล้วเหลือส่วนต่างไม่ถึง 5000 บาท นับว่าบางครั้งเป้นเรื่องยากที่จะตัดสินใจ
การที่เรารู้จักประเภทรถยนต์อย่างถ่องแท้นั้น ช่วยให้เรารู้ว่าเม็ดเงินที่จะเป็นค่าตัวเจ้า 4 ล้อ เหล่านี้มันคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งหากคุณได้รู้จักประเภทรถยนต์และศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว ราคาและความคุ้มค่าที่จะช่วยเลือกรถยนต์คู่ใจนั้น จะคุ้มค่ากว่าแค่เพียงฟังคำบอกเล่าจากเซลล์รถยนต์

 

 

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook