รีวิว 2015 Mazda 2 SKYACTIV-G ที่สุดของอีโคคาร์ระดับ 1.3 ลิตร
Mazda2 SKYACTIV-G 1.3 ใหม่ ได้ถูกเปิดตัวพร้อมเคาะราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในงานมอเตอร์โชว์ เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากที่ Mazda2 เครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D ถูกวางจำหน่ายมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และไม่นานมานี้ทาง Mazda Sales ประเทศไทย ก็ได้จัดทริปทดสอบสมรรถนะของ 2015 Mazda2 SKYACTIV-G 1.3 คันนี้ ให้แก่บรรดาสื่อมวลชนทั้งหลาย ซึ่ง Sanook!Auto ของเราก็ไม่พลาดที่จะเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
โดยในเส้นทางการทดสอบครั้งนี้ จะได้ทดสอบกันอย่างครบเครื่องทั้งการขับฝ่ารถติดในตัวเมือง ไปจนถึงเส้นทางรอบนอกเมือง โดยเริ่มต้นออกจากโรงแรม Chatrium บนถนนเจริญกรุง มุ่งหน้าเข้าบริเวณใจกลางเมือง อย่างเสาชิงช้าและโดยรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ไปแวะพักท่ามหาราช ก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับมายังราชดำเนิน เพื่อขึ้นสะพานพระราม 8 ไปออกถนนอักษะ และวิ่งต่อเข้ามาทางศาลายามุ่งหน้าไปยัง ‘Woodland’ เพื่อพักรับประทานอาหาร ก่อนที่จะวิ่งวนอ้อมรอบนอก กทม. เพื่อกลับเข้ามายังสนาม ‘Wonder World’ เพื่อทดสอบการขับแบบ Gymkhana ก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับมายังโรงแรม Chatrium อีกครั้ง
ในการทดสอบครั้งนี้ทางเราได้ขับในรุ่น Hatchback 1.3 SKYACTIV-G Standard สีแดง Soul Red ซึ่งมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 550,000 บาท
ภายนอกของ 2015 Mazda2 SKYACTIV-G 1.3 นี้ เรียกได้ว่าแทบจะไม่ต่างจากรุ่นเครื่องดีเซลเลย จะมีเพียงรุ่น 1.3 จะสวมล้อขนาด 15 นิ้วหมดทุกรุ่นย่อย กระจกบานหน้าจะไม่ใช่กระจกแบบลดเสียงรบกวน และโลโก้ทางด้านท้ายจะเป็นคำว่า ‘SKYACTIV TECHNOLOGY’ เฉยๆ ไม่มีตัวอักษร D หรือ G แต่อย่างใด
ในรุ่น Standard คันนี้ จะมีจุดต่างจากรุ่นอื่นๆ ได้แก่ ไม่มีไฟตัดหมอก กระจังหน้าสีดำ ปลายท่อไอเสียไม่ใช่โครเมียม และล้อเป็นแบบกระทะครอบ 15” สำหรับมิติตัวถังต่างๆ ยังคงเดิม เพียงแต่ในรุ่นเครื่องยนต์เบนซินน้ำหนักรถจะเบาขึ้น 105 กก. อย่างรุ่น Hatchback Standard คันนี้จะมีน้ำหนักเพียง 1,024 กก. เท่านั้น
สำหรับภายในห้องโดยสาร ต้องเรียกได้ว่า ไม่แตกต่างใดๆ จากรุ่นเครื่องดีเซล มีเพียงสวิทช์ Drive Selection ที่อยู่ใต้คันเกียร์ ให้เลือกปรับโหมด Sport เพิ่มได้เท่านั้น สามารถอ่านสเป็กเพิ่มเติมของรุ่น High Plus ที่ได้ทดสอบไปในรีวิว Mazda2 SKYACTIV-D ได้ที่นี่ แต่ในรุ่น Standard คันนี้ จะพบว่าอ็อพชั่นค่อนข้างแตกต่างอยู่พอสมควร อาทิ เบาะผ้า, แผงคอนโซลสีดำ, แอร์มือหมุน, หน้าปัดวัดรอบเครื่องแบบดิจิตอล, ขณะที่พวงมาลัย-หัวเกียร์และด้ามเบรกมือใช้วัสดุ PVC, ไม่มีหน้าจอ Center Display, ปุ่ม Commander และหน้าจอ Active Display เป็นต้น
เครื่องยนต์เบนซินหัวฉีดตรง SKYACTIV-G 1.3 ลิตร ให้พละกำลังที่ 93 แรงม้า ที่ 5,800 รอบ/นาที และแรงบิด 123 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที รองรับน้ำมัน E20 โดยในรุ่นนี้ถังน้ำมันจะมีความจุเพียง 35 ลิตร เท่านั้น (รุ่น 1.5 ดีเซล 44 ลิตร) โดยมาพร้อมระบบ i-stop ซึ่งมาสด้าได้เคลมว่าช่วยให้ประหยัดน้ำมันเพิ่มเฉลี่ย 3%
นอกจากนี้ยังมีระบบ i-ELOOP ที่ช่วยเก็บประจุไฟในช่วงจังหวะที่ถอนคันเร่ง (ความเร็วเกินกว่า 20 กม./ชม.) หรือจังหวะเบรก เพื่อไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ สำหรับจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถ ช่วยลดภาระเครื่องยนต์ จึงทำให้ประหยัดพลังงานเพิ่มมากขึ้น
จะว่าไปแล้ว หากมองเพียงแค่ตัวเลขนั้น Mazda2 ใหม่ จะถือเป็นผู้ชนะคู่แข่งในคลาส อีโคคาร์ 1.3 ลิตร ทุกคัน เนื่องจากเดิมที Suzuki Swift ยังเป็นรถที่มีกำลังเหนือที่สุดอยู่ที่ 91 แรงม้า และแรงบิด 118 นิวตันเมตร นอกจากนั้นด้วยระบบส่งกำลังของรถคู่แข่งคันอื่น ล้วนแต่ใช้เกียร์ CVT แต่ Mazda2 เลือกใช้เกียร์ SKYACTIV-DRIVE 6 Speed ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Mazda Generation ที่ 6
ในด้านของการขับขี่ใช้งานจริง สำหรับผู้ที่เคยทดลองรุ่น SKYACTIV-D มาก่อน อาจจะรู้สึกได้ทันทีว่าพละกำลังของรุ่น G นี้ดูด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นไม่ใช่จุดที่ผู้เขียนจะเอาไปเปรียบ เพราะสิ่งที่ถูกคือต้องจับ SKYACTIV-G 1.3 เทียบกับรถ Eco Car 1.3 ลิตร คันอื่นต่างหาก ในจังหวะขับเคลื่อนออกตัวอาจพบอาการรอรอบบ้างเป็นปกติของเครื่องยนต์เบนซินบล๊อกเล็ก ที่จังหวะรอบเครื่องยนต์ต่ำยังผลิตกำลังเครื่องยนต์ได้ไม่มากนัก
ยิ่งการออกตัวหรือขับขึ้นทางลาดชันอย่างช่วงขึ้นทางด่วนด้วยแล้ว อาจต้องเติมคันเร่งลงน้ำหนักลึกสักหน่อย แต่สำหรับการขับขี่เร่งแซงช่วงความเร็วกลาง ไล่ไปจนถึงความเร็วปลาย ช่วงนี้ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว ความเร็วยังคงไหลขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงทางตรงโล่งๆ ผู้เขียนลองมีโอกาสได้กดคันเร่งแบบยาวๆ ตามขบวนรถคันหน้า พบว่ารถไปได้ถึง 160 กม./ชม. แบบไม่เครียดเกินไปนัก เมื่อเทียบกับรถ Eco Car คันอื่นๆ ที่เคยสัมผัสมาก่อนหน้านี้
*ข้อแนะนำเพิ่มเติม หากต้องการอัตราเร่งแซงที่ดีขึ้น หรือขับขี่ให้สนุกขึ้น ควรกดปุ่มเปิดโหมด Sport ที่อยู่ด้านใต้หัวเกียร์ จะช่วยให้ตัวรถคงรอบเครื่องยนต์สูงเอาไว้ ซึ่งให้พละกำลังในการเร่งแซงได้อย่างดียิ่งขึ้น การตอบสนองของคันเร่งทันท่วงที ไม่สูญเสียจังหวะ
สำหรับในช่วงที่ทดสอบขับ Gymkhana ซึ่งทางมาสด้าต้องการให้บรรดาสื่อมวลชนได้สัมผัสถึงสมรรถนะของการควบคุมตัวรถ และช่วงล่างอย่างดีเยี่ยมแท้จริง ด้วยรางวัลการันตีรางวัล Golden Steering Wheel 2014 มาเรียบร้อย
ใน Station นี้ จะมีทั้ง ทางตรง, โค้งกว้าง, Slalom , Lane Change, วนเลข 8 ซึ่งการตอบสนองของพวงมาลัยไฟฟ้านั้นให้ความรู้ที่ดีเป็นธรรมชาติ ผ่อนแรงได้พอเหมาะ โดยที่การขับเคลื่อนในทางโค้งยังคงมีน้ำหนักให้ประคองเพื่อควบคุมในจังหวะคืนพวงมาลัยในทางโค้งได้ดีเยี่ยม ในช่วงวนเลข 8 ด้วยรัศมีวงเลี้ยวรถที่แคบเพียง 4.7 เมตร ทำให้ตัวรถมีความคล่องตัวสูงมาก ไม่ต้องเปิดวงเลี้ยวตีวงมากเกินไปก็กลับรถได้อย่างรวดเร็ว
ด้านช่วงล่างนั้น ต้องบอกเลยว่าขึ้นชื่อว่า Mazda ยังไงก็ไว้ใจได้ ไม่ว่าจะการหัก Lane Change กะทันหัน หรือ Slalom ต่อเนื่อง ตัวรถยังคงเกาะถนนได้อย่างดีเยี่ยม ยิ่งการมีระบบ DSC ช่วยในการทรงตัว ทำให้ตัวรถแทบจะไม่มีอาการสูญเสียการควบคุมออกมาให้เห็น ถ้าจะว่าไปมีจุดขัดใจอยู่บ้างนั่นก็คือยาง ด้วยยาง Series Eco ที่อาจเป็นตัวฝืนขืนอาการของช่วงล่างนั่น คือ การเข้าโค้งที่ช่วงล่างดูจะยังรับมือไหว แต่ยางกลับเป็นสิ่งแรกที่ส่งเสียงกรีดร้องออกมาก่อน และเสมอ เพื่อส่งสัญญาณว่าตัวยางเองเริ่มจะหมด Grip (การยึดเกาะ) แล้ว
ในจุดนี้เองที่ถือเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับในการเข้าโค้งให้รวดเร็วกับ Mazda2 ซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า ที่จะพบอาการ Understeer อยู่บ้าง ในช่วงวนเลข 8 จังหวะ U-Turn รถ จึงใช้วิธีเติมคันเร่งในโค้งเพื่อรถสูญเสียอาการ จนท้ายเริ่มออกช่วยให้การตวัดตัวรถกลับทำได้เร็วยิ่งขึ้น
ในส่วนของระบบเบรกนั้น Mazda2 ก็ยังทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดี ทั้งตำแหน่งเบรกและการลงน้ำหนักของแป้นที่ดูลงตัว ไม่ตื้นจนหน้าทิ่ม และน้ำหนักเท้าที่ต้องกดลงพอสมควร แต่จะดีกว่านี้ ถ้าตั้งแต่รุ่น High เป็นต้นไปจะใส่ดิสก์เบรกมาให้อย่างรุ่นดีเซล ซึ่งจะช่วยให้ Mazda2 นี้ดูเป็นรถพรีเมียม เหนือคู่แข่งอย่างชัดเจน
สรุป Mazda2 SKYACTIV-G 1.3 ถือเป็นรถเครื่องยนต์ 1.3 ลิตร ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในด้านของสมรรถนะการขับขี่ และที่สุดของเทคโนโลยี ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น i-stop, i-ELOOP, DSC, TCS, HLA และปุ่ม Push Start ที่ให้มาตั้งแต่รุ่น standard และจะไม่มีรถคันไหนให้คุณได้เท่า Mazda2 ใหม่อีกแล้ว
สำหรับค่าตัวเริ่มต้นในรุ่น Standard ที่ได้ทดสอบคันนี้อยู่ที่ 5.5 แสนบาท โดยมีราคาเท่ากันทั้งตัวถัง Hatchback และ Sedan เลือกได้ตามใจชอบ จุดที่น่าคิดอย่างถี่ถ้วน คือ ราคาของรุ่น 1.3 High Plus ที่ราคา 6.65 แสนบาท ต่างกับรุ่น ดีเซล XD ที่ 6.75 แสนบาท เพียงหมื่นเดียว! ดังนั้น ถ้าคุณเป็นผู้ที่รักชอบในความแรงการเพิ่ม 1 หมื่นบาทจากตัวท๊อปของเบนซินได้เครื่องดีเซล ดูจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ถ้าไม่เน้นความแรงเน้นอ็อพชั่นขับสบายๆ ในรุ่น 1.3 High หรือ 1.3 High Plus ก็ดูน่าสนใจไม่แพ้กัน
ขอขอบคุณ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นอย่างสูงที่ให้เกียรติเชิญทีมงานเข้าร่วมทดสอบ Mazda2 SKYACTIV-G 1.3 ในครั้งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
อัลบั้มภาพ 27 ภาพ