YOKOHAMA รุก Motorsport Marketing มั่นใจตลาดยางสดใส เป้าขายปีหน้า 4 แสนเส้น

YOKOHAMA รุก Motorsport Marketing มั่นใจตลาดยางสดใส เป้าขายปีหน้า 4 แสนเส้น

YOKOHAMA รุก Motorsport Marketing  มั่นใจตลาดยางสดใส เป้าขายปีหน้า 4 แสนเส้น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โย โกฮามาเดินหน้ารุกกลยุทธ์การตลาด Motorsport Marketing สุดตัว อัดงบหนุนกีฬามอเตอร์สปอร์ตระดับประเทศ หวังสะท้อนสมรรถนะคุณสมบัติเด่นที่สุดแห่งเทคโนโลยียางรถยนต์ High performance จากสนามแข่งสู่ท้องถนน เพื่อกระตุ้นการรับรู้ผู้บริโภค และเพิ่มยอดขาย มั่นใจจบปี 2553 จำหน่ายยางรถยนต์เฉียด 3 แสนเส้น หรือคิดเป็นมูลค่าร่วม 800 ล้านบาท เผยปีหน้าปรับยอดขายเพิ่มเป็น 4 แสนเส้น หรือเพิ่มขึ้นอีก 30% เร่งกรุยทางเพื่อก้าวขึ้นติดอันดับ 1 ใน 4 ผู้นำตลาดยางรถยนต์เมืองไทยต่อไป

มร.ยาซูชิ อิอิดะ ประธานกรรมการ บริษัท โยโกฮามา ไทร์ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ยางโยโกฮามายังคงเน้นการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ด้วยการสนับสนุนกีฬามอเตอร์สปอร์ตในรายการต่างๆ ล่าสุดในการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ “Bangsaen Thailand Speed Festival 2010” จัดแข่งขันไปเมื่อวันที่ 12-14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งที่สองที่ให้การสนับสนุนรายการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบระดับ ประเทศดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มการรับรู้ต่อแบรนด์ “โยโกฮามา” ว่าเป็นยางรถยนต์ High performance ที่ไม่ใช่เป็นเพียงยางรถยนต์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นในด้านสมรรถนะและ ประสิทธิภาพสูงเท่านั้น แต่เป็นยางที่ให้ความนุ่มนวล ความเงียบ อันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความโดดเด่นของยางโยโกฮามาจากสนามแข่งสู่ท้อง ถนน

ด้วยการส่งยางประเภท slick และ semi-slick ให้ทีมนักแข่งใช้ใส่ลงชิงชัยในรายการนี้ได้แก่ คุณณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะและคุณณัฐพงษ์ ห่อทองคำ จากทีมโตโยต้า อาร์โต้, คุณพีท ทองเจือ ดารานักแข่งจากทีมปตท., Mr.Thomas Raldorf และ Mr.Tony Percy จากทีม เดอะพิซซ่า โยโกฮามา เรซซิ่งทีม, คุณสนธยา คุณปลื้ม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งประเทศไทย ในนามทีม เดอะ ไทด์ รีสอร์ท และคุณเอกรัฐ ดิษฐ์เจริญ จากทีมเอ มอเตอร์ นอกจากนี้ยังสนับสนุนยางให้แก่นักแข่งชาวญี่ปุ่นคือ Mr.Takuma Aoki และ Mr.Nao Fukasawa เพื่อใช้แข่งขันในรายการ 555 Endurance Series ครั้งนี้ด้วย รวมถึงคุณศรานนท์ ภรณ์พัฒนารักษ์ แชมป์ดริฟต์รถของเมืองไทย เจ้าของฉายา “God Of Drift” พร้อมทั้งนำยางรถยนต์รุ่นต่างๆ ที่มีจำหน่ายในปัจจุบันมาออกบู๊ธและจัดกิจกรรมพิเศษ เพื่อโชว์เทคโนโลยีการผลิตและออกแบบยางรถยนต์โยโกฮามา รวมถึงให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ยางรถยนต์แก่ผู้สนใจทั่วไปภายในบู๊ธ ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไปและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาชมการแข่ง ขันรถยนต์ในรายการนี้อย่างล้นหลาม

“กิจกรรมนี้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดของโยโกฮามา เพราะเราเห็นว่า “Bangsaen Thailand Speed Festival 2010” ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในกลุ่มผู้รักกีฬาความเร็ว และปีหน้าจะเพิ่มงบการตลาดในส่วนนี้อีก ทั้งนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ต่อผลิตภัณฑ์และสะท้อนให้เห็นถึงสมรรถนะอันโดดเด่นของ ยางโยโกฮามา”

 

มร.ยาซูชิ อิอิดะ กล่าวว่า ร่วมสองปีที่โยโกฮามาเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเต็มตัว ปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ 10% โดยภาพรวมตลาดยางของบริษัทในปี 2553 ได้ตั้งเป้าจำหน่ายไว้สูงมาก คือเกือบ 3 แสนเส้น หรือราว 800 ล้านบาท มากกว่าปี 2552 ร่วม 30%

“เป้าหมายยอดจำหน่ายเกือบ 3 แสนเส้นในปีนี้ เป็นยางรถยนต์ในตลาดยางทดแทนทั้งหมด ไม่รวมยางในตลาด OEM โดยเมื่อจบไตรมาส 3 ปี 2553 ที่ผ่านมา (มกราคม-กันยายน) สามารถทำยอดจำหน่ายได้แล้วร่วม 2 แสนเส้น และมั่นใจว่าในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้จะสามารถบรรลุถึงเป้าหมายยอดขาย จำนวนเกือบ 3 แสนเส้นได้อย่างแน่นอน ส่วนปีหน้าจะปรับยอดขายเพิ่มเป็น 4 แสนเส้น หรือเพิ่มขึ้นอีก 30% ของยอดขายรวมทั้งปีของปี 2553”

 

“จากเป้าหมายการตลาดที่กำหนดไว้นี้มั่นใจว่า ในไม่ช้าโยโกฮามาจะก้าวขึ้นเป็นอันดับ 4 ในตลาดยางรถยนต์เมืองไทย แม้จะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งก็ตาม เนื่องจากคู่แข่งของเราเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยนานหลายสิบปี ขณะที่เราเพิ่งเข้ามาได้เพียงแค่ 2 ปี นับเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เรามองว่า ก่อนที่จะเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นนั้น เราควรเน้นเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ และสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างสูงสุดเสียก่อน เมื่อทำตรงนี้ได้สำเร็จ แน่นอนว่ายอดขายจะมีตามมา ซึ่งยางทุกรุ่นของโยโกฮามานั้นมีจุดเด่นในเรื่องของสมรรถนะที่ดีเยี่ยมใน ทุกๆ ด้านอยู่แล้ว”

มร.อิอิดะ กล่าวเพิ่มเติมว่า เป้าหมายสู่ความสำเร็จของยางโยโกฮามาในขั้นต่อไป เพื่อทำให้สามารถก้าวสู่อันดับ 4 ของตลาดยางรถยนต์เมืองไทยนั้น โยโกฮามาเตรียมรุกการทำตลาด OEM อย่างเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันโยโกฮามาทำตลาดแบบ OEM กับบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด ในรถยนต์รุ่นแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ 1.8 1ลิตร และ 2.0 ลิตรเท่านั้น


ส่วนผลกระทบจากยางพารา ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตยางรถยนต์มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นนั้น มร.อิอิดะ กล่าวในท้ายสุดว่า ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดการจำหน่ายนัก “การปรับราคายางในปีนี้ปรับแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเดือนเมษายน ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยปรับราคาขายเพิ่มขึ้นครั้งละ 5% ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายของโยโกฮามามากนัก เนื่องจากผู้ผลิตรายอื่นต่างก็ปรับราคาตามเช่นกัน

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook