รีวิว Toyota Vellfire 2015 ใหม่ หรูหราเกินพิกัดแต่ไม่ทิ้งลายความสปอร์ต
Toyota Alphard และ Vellfire ถือเป็นรถระดับพรีเมี่ยมที่ทำยอดขายในประเทศไทยได้เกินความคาดหมาย จากเดิมที่โตโยต้าประเทศไทยยังไม่นำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เหล่าบรรดาศูนย์รถเกรย์ก็สามารถเก็บยอดขายจากทั้งสองรุ่นนี้กันอย่างเทน้ำเทท่า
ดังนั้น เมื่อทั้ง Alphard และ Vellfire เข็นโมเดลเชนจ์ใหม่ล่าสุดลงสู่ตลาดประเทศญี่ปุ่น ทาง โตโยต้าประเทศไทยเอง จึงไม่พลาดที่จะนำเข้ามาขายอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมอัดอ็อพชั่นแน่นเอี๊ยดและบริการหลังการขายเหนือระดับ จากเดิมที่มีจำหน่ายเฉพาะ ‘อัลฟาร์ด’ เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้จัดทริปร่วมทดสอบ Toyota Alphard/Vellfire โฉมใหม่ บนเส้นทางกรุงเทพฯ-ปราณบุรี เพื่อให้เราได้สัมผัสความหรูหรา สะดวกสบาย ของรถหรูระดับผู้บริหารสองรุ่นนี้กัน
รถคันที่เราได้รับมอบหมายทดสอบในครั้งนี้ เป็นรุ่น Vellfire เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร ซึ่งนับว่าเป็นรุ่นเริ่มต้นในบ้านเรา หากขยับขึ้นมาอีกนิดก็จะเป็นรุ่น Alphard Hybrid 2.5 HV และตามมาด้วยรุ่น Alphard 3.5 ซึ่งถือเป็นรุ่นท็อปสุดนั่นเอง
แต่ไม่ต้องห่วงไปครับ แม้รุ่นเวลไฟร์ที่เราได้รับทดสอบในครั้งนี้ จะเป็นเพียงรุ่นเริ่มต้น แต่ความหรูหรา ไฮโซ ของรถคันนี้ก็ถูกจัดมาแบบเต็มพิกัด จนแทบจะเรียกได้ว่าเกินพอด้วยซ้ำไป
Toyota Vellfire เป็นรถที่เจาะกลุ่มเป้าหมายต่างออกไปจาก Alphard เล็กน้อย โดยเวลไฟร์ถูกมุ่งเน้นไปยังผู้บริหารที่ยังอายุน้อย เน้นความโฉบเฉี่ยว ซึ่งจะเห็นได้จากรูปลักษณ์ภายนอกของ Vellfire ใหม่ ที่ถูกออกแบบให้มีความสปอร์ตเอาใจหนุ่มสาวมากกว่า ขณะที่ Alphard จะเน้นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเน้นภาพลักษณ์ ความหรูหรา ภูมิฐาน พร้อมฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกที่มากขึ้น
เริ่มกันที่รูปลักษณ์ของ Vellfire ใหม่ โดดเด่นด้วยไฟหน้าโปรเจคเตอร์ LED แบบสองชั้น พร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED ออกแบบรับกับกระจังหน้าโครเมี่ยมสีเข้ม ติดตั้งไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED
ดีไซน์ด้านข้างถูกออกแบบให้ดูโค้งมนมากขึ้น พร้อมตกแต่งด้วยโครเมี่ยมตามขอบประตู ช่วยเพิ่มความหรูหรา ตัวถังวางอยู่บนล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 235/50
ตัวถังด้านหลังติดตั้งไฟท้ายแบบโคมใส ต่างจากรุ่นอัลฟาร์ดที่เป็นสีแดง ประตูบานหลังขนาดใหญ่สามารถเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า นอกจากนั้น ยังติดตั้งชุดแต่งสปอร์ตรอบคัน ซึ่งเป็นชุดแต่งพิเศษสำหรับรถที่ซื้อผ่านโตโยต้าประเทศไทย
ห้องโดยสารของ Vellfire ถูกตกแต่งด้วยโทนสีดำเน้นความสปอร์ต เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังแท้แบบมีรูระบายอากาศ จัดวางเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง (แบบ 2+2+3) เบาะคนขับสามารถปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทางพร้อมเมมโมรี่ 3 ตำแหน่ง ขณะที่เบาะฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้าได้ 4 ทิศทางพร้อมที่รองขา
เบาะนั่งแถวที่ 2 ถูกออกแบบให้แยกอิสระออกจากกัน สามารถปรับเอนด้วยไฟฟ้า (เลื่อนหน้า-หลังแบบปรับด้วยมือ) พร้อมที่รองขาช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ติดตั้งโต๊ะกลางขนาดเล็กระหว่างตัวเบาะ สามารถพับเก็บได้เมื่อไม่ใช้งาน ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 มาพร้อมพนักพิงศีรษะ 3 ตำแหน่ง ตัวเบาะสามารถพับเก็บแบบแขวนขึ้นด้านข้างได้
คอนโซลกลางติดตั้งเครื่องเสียงพร้อมหน้าจอ LED ระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับ DVD/MP3/USB/iPod และ Bluetooth ขณะที่บริเวณเหนือศีรษะถูกติดตั้งหน้าจอ LED ขนาด 10.2 นิ้วสำหรับผู้โดยสารตอนหลังมาให้ด้วย ขับกำลังเสียงผ่านลำโพงรอบคันทั้งหมด 8 จุดด้วยกัน
เลื่อนลงมาเป็นปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบสามโซน แยกปรับซ้าย-ขวา-หลัง พร้อมช่องแอร์ส่วนตัวทุกที่นั่ง รวมถึงยังมีระบบนาโนอี (Nanoe) ที่ช่วยปล่อยประจุลบ ให้อากาศสะอาดยิ่งขึ้น พร้อมเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวได้ด้วย
เงยหน้าขึ้นบนเพดาน จะพบกับแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศที่สามารถสั่งงานเป็นอิสระจากด้านหน้า พร้อมหลังคาแบบมูนรูฟ สามารถเปิด-ปิดได้ด้วยไฟฟ้า รวมถึงไปยังมีไฟตกแต่งภายในห้องโดยสารแบบ LED ที่สามารถเปลี่ยนเฉดสีได้ถึง 16 สี ปรับความสว่างได้ 4 ระดับ ขณะที่กระจกประตูคู่หลังและประตูบานท้ายเป็นแบบกรองแสงในตัว พร้อมม่านบังแดดแบบดึงขึ้นด้วยมือสำหรับประตูคู่หลัง
มาตรวัดบอกความเร็วเป็นแบบเรืองแสง Optitron พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID ติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control, กุญแจอัจฉริยะพร้อมปุ่มสตาร์ท, ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ, ระบบที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ ฯลฯ
นอกจากนั้น ยังมีระบบเบรกมือแบบไฟฟ้าที่จะใส่เบรกให้อัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ P มาพร้อมโหมด Hold ที่ช่วยเหยียบเบรกแทนขณะรถติดไฟแดง โดยระบบจะปลดเบรกให้ทันทีเมื่อเหยียบคันเร่งเพื่อออกตัว
ระบบความปลอดภัยมาเพียบไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยและม่านนิรภัยถึง 9 ตำแหน่ง ทั้งด้านหน้า, ด้านข้าง, ม่านถุงลม และถุงลมบริเวณหัวเข่า, ระบบเบรก ABS/EBD พร้อมเสริมแรงเบรก BA, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC, และระบบควบคุมเสถียรภาพ VSC
เครื่องยนต์ใน Vellfire ใหม่ มีให้เลือกบล็อกเดียวคือ เบนซินขนาด 2.5 ลิตร DOHC Dual VVT-I ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 235 นิวตัน-เมตร ที่ 4,100 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT รองรับเชื้อเพลิงทางเลือกสูงสุดคือ E20
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหน้าแบบดับเบิ้ลวิชโบน ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความนุ่มนวลอยู่แล้ว ขณะที่ระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ
เริ่มต้นเป็นผู้โดยสารเบาะหน้ากันก่อน เราเดินทางออกจากโรงแรม The Okura Prestige บนถนนวิทยุ มุ่งหน้าขึ้นทางด่วนไปลงยังถนนพระรามสอง สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความนุ่มนวลของช่วงล่าง รวมถึงความเงียบภายในห้องโดยสาร ขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ
ถึงแม้ว่าจะโดยสารบนเบาะนั่งด้านหน้า แต่ตัวเบาะเองก็ยังให้ความสบายไม่แพ้เบาะแถวที่ 2 ด้วยขนาดของตัวเบาะที่มีขนาดใหญ่ โอบกระชับร่างกายได้เป็นอย่างดี ความนุ่มของฟองน้ำอยู่ในเกณฑ์กำลังดี ไม่นุ่มไม่แข็งจนเกินไป รวมไปถึงที่รองขาแบบปรับไฟฟ้า ก็มีติดตั้งไว้ที่เบาะหน้าด้วย ช่วยเพิ่มความผ่อนคลายขณะเดินทางไกล
นั่งสบายๆมาจนถึงช่วง อ.วังมะนาว เราได้สลับไปเป็นคนขับดูบ้าง ซึ่งแม้ว่าผู้เขียนเองจะมีความสูง 173 เซนติเมตร แต่ก็สามารถปรับเบาะเพื่อให้ได้ทัศนวิสัยรอบคันได้อย่างสบายๆ ขับง่ายกว่าที่คิด
เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร ที่ต้องแบกรับน้ำหนักตัวรถราว 2 ตันครึ่ง บวกกับน้ำหนักผู้โดยสารอีก 4 คน ทำให้ Vellfire เรียกได้ว่ามีอัตราเร่งแบบสมน้ำสมเนื้อ คือแม้จะไม่ได้ปรู๊ดปร๊าดดั่งใจคิด แต่ก็เพียงพอกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เหมาะสำหรับผู้ที่เน้นการใช้งานในเมือง ขับออกต่างจังหวัดบ้างเป็นบางครั้ง
การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารยังคงทำได้ดี เสียงจากช่วงล่างและพื้นถนนเข้ามาน้อยมาก จะมีก็เพียงเสียงลมที่เล็ดลอดเข้ามาบริเวณเสาบีอยู่บ้าง นอกนั้นถือว่าเงียบใช้ได้ทีเดียว
แม้ว่า Vellfire จะถูกเน้นมาเพื่อความสปอร์ตมากกว่ารุ่น Alphard แต่ช่วงล่างของเวลไฟร์ก็ยังคงเน้นความนุ่มนวลเป็นหลัก ซึ่งตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการความสบายในการเดินทาง ในช่วงเข้าโค้งมีอาการโคลงให้เห็นอยู่บ้าง ซึ่งก็ตามประสารถที่มีจุดศูนย์ถ่วงสูงกว่ารถเก๋งทั่วไป แต่หากเป็นทางตรงยาวๆ รับรองว่าสบายหายห่วง เล่นเอาผู้โดยสารหลับไม่รู้เรื่องได้ง่ายๆเลยทีเดียว
ในช่วงเดินทางกลับนั้น เราได้มีโอกาสเป็นผู้โดยสารเบาะหลังดูบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์เด็ดของทั้ง Vellfire และ Alphard ที่ใครๆก็อยากหามาครอบครอง ซึ่งคราวนี้ผู้เขียนเองก็เพิ่งประจักษ์ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของ จนได้รู้แจ้งว่าทำไมรถสองรุ่นนี้ถึงขายดีในบ้านเรานัก
เบาะนั่งแถว 2 แบบกัปตันซีทที่แยกเป็นอิสระพร้อมที่วางแขนทั้งสองฝั่ง ให้ความกระชับขณะโดยสารแต่ก็ยังไม่ทิ้งความสบาย สามารถปรับเอนจนกลายเป็นที่นอนขนาดย่อมๆ ได้เลยทีเดียว ยิ่งเมื่อปรับที่วางขาขึ้นด้วยแล้ว แทบจะเรียกได้ว่านี่คือชั้นบินระดับเฟิร์สคลาสชัดๆ โดยเฉพาะพนักพิงศีรษะที่สามารถปรับโอบได้นั้น เสมือนเรามีหมอนใบเล็กๆหนุนไว้อีกที ช่วยให้ศีรษะไม่โอนเอนไปตามการโคลงของตัวรถ เพิ่มความสบายขึ้นไปอีกเท่า
ระหว่างนี้ ผู้เขียนลองข้ามไปนั่งเบาะนั่งแถวที่ 3 ดู ก็พบว่าสามารถโดยสารได้อย่างสะดวกสบายเช่นกัน เพดานยังคงความสูงโปร่ง ประกอบกับประตูหลังที่ออกแบบให้ตั้งชัน ช่วยให้ไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด สามารถรองรับผู้โดยสารผู้ใหญ่ได้สบายๆ ซึ่งถือเป็นข้อดีของรถสไตล์นี้
นอกจากนั้น ทั้งโตโยต้า เวลไฟร์ และ อัลฟาร์ด ยังมีสิทธิพิเศษ เช่น อัพเกรดเที่ยวบินชั้นเฟิร์สคลาสฟรี รถรับ-ส่งสนามบินฟรี รวมไปถึงส่วนลดโรงแรม ร้านอาหารต่างๆ สำหรับรถที่ซื้อผ่านศูนย์จำหน่ายอย่างเป็นทางการของโตโยต้าอีกด้วย
สรุป Toyota Vellfire เป็นรถหรูอีกรุ่นที่น่าสนใจ ด้วยรูปลักษณ์สไตล์สปอร์ต แต่ยังคงไว้ซึ่งความนุ่มสบายในการโดยสาร สมรรถนะเครื่องยนต์ในเมืองไม่มีปัญหา ออกนอกเมืองอาจต้องใจเย็นเล็กน้อย เหมาะสำหรับผู้บริหารต้องการนั่งสบายๆ ไปทำงาน ขณะที่วันหยุดก็สามารถขับเองเพื่อไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัว ถือเป็นรถระดับพรีเมี่ยมที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว
ราคาจำหน่าย Toyota Vellfire 2015 อยู่ที่ 3,399,000 บาท
ขอขอบคุณผู้บริหารและฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นอย่างสูง ที่ให้เกียรติเชิญทีมงานเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้
อัลบั้มภาพ 64 ภาพ