รีวิว Chevrolet Colorado High Country ใหม่ เติมเต็มความหรูหราระดับไฮเอนด์
รถกระบะในปัจจุบันไม่เพียงแต่ตอบสนองการบรรทุกของเท่านั้น แต่ยังเจาะกลุ่มผู้ใช้งานเชิงไลฟ์สไตล์มากขึ้น ทั้งขับไปทำงานในวันธรรมดา ขับไปเที่ยวต่างจังหวัดในวันหยุด อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้หลากหลายกว่ารถเก๋งทั่วไป ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ‘เชฟโรเลต โคโลราโด ไฮคันทรี่’ ที่เรามาจะมารีวิวกันในครั้งนี้นั่นเอง
Colorado High Country 2015 ใหม่ ถือเป็นรุ่นท็อปสุดในสายการผลิตรถกระบะของเชฟโรเลตที่จำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งพัฒนาต่อยอดจากรุ่นท็อปเดิม โดยมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ภายนอกให้ดูบึกบึนยิ่งขึ้น ภายในถูกออกแบบเพิ่มความหรูหรา รวมถึงติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานในปัจจุบัน
เชฟโรเลต โคโลราโด ไฮคันทรี่ มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้งคู่ติดตั้งเครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน คือ ดีเซล Duramax ความจุ 2.8 ลิตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ขณะที่อุปกรณ์มาตรฐานทั้งภายนอก-ภายในของทั้ง 2 รุ่นเรียกว่าแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง
รูปลักษณ์ภายนอกของ โคโลราโด ไฮคันทรี่ ถูกตกแต่งให้ดูสปอร์ตดุดันยิ่งขึ้น เริ่มจากไฟหน้าแบบฮาโลเจนโปรเจคเตอร์ตกแต่งให้ดูเข้มขึ้น, กระจังหน้าสีเทาสลับดำ, แผงกันชนสีดำตกแต่งด้วยสีเงิน, ราวหลังคาแนวขวางถูกติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมอย่างกล่องเก็บของ, ที่ยึดจักรยาน เป็นต้น
กระบะท้ายติดตั้งสปอร์ตบาร์สีเดียวกับตัวรถ ช่วยเพิ่มความลงตัวมากขึ้น เพิ่มลายโครเมี่ยมบริเวณขอบประตูและกระจกมองข้าง เช่นเดียวกับที่เปิดฝากระบะท้ายโครเมี่ยม ขอบประตูบริเวณเสาบีเป็นสีดำเงาเพิ่มความพรีเมี่ยม ล้ออัลลอยสีดำกลึงหน้าตัดสีเงินขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 265/60 R18
ห้องโดยสารภายในมาพร้อมเบาะนั่งหุ้มด้วยหนังแท้สีน้ำตาล Brown Stone พร้อมตกแต่งแผงคอนโซลจากเดิมสีดำด้านธรรมดา เป็นวัสดุสีดำเงา Piano Black ช่วยเพิ่มความหรูหรายิ่งขึ้น แผงประตูด้านข้างบุด้วยวัสดุหนังเช่นกัน มาตรวัดเรืองแสงสีฟ้าพร้อมหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ต่างๆ เช่น ระยะทางที่วิ่งต่อได้, อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง, ข้อมูลตัวรถต่างๆ เป็นต้น
พวงมาลัยสามารถปรับได้ 2 ทิศทาง สูง-ต่ำ หุ้มด้วยหนังแท้เช่นเดียวกับหัวเกียร์ ฝั่งซ้ายของพวงมาลัยสำหรับควบคุมระบบเครื่องเสียงและโทรศัพท์ ขณะที่ฝั่งขวาใช้สำหรับควบคุมระบบ Cruise Control ขณะที่ก้านคันโยกข้างพวงมาลัยฝั่งซ้ายมือจะใช้ควบคุมที่ปัดน้ำฝน ส่วนก้านไฟเลี้ยว-ไฟสูงอยู่ทางขวามือ ขณะที่บริเวณเสาคู่หน้าทั้งสองข้าง ติดตั้งเว้ามือจับมาให้
ระบบเครื่องเสียงใน โคโลราโด ไฮคันทรี่ คันนี้ เป็นแบบ MyLink พร้อมหน้าจอสัมผัสสีขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่าน Bluetooth สามารถเล่นแผ่น CD/DVD ได้ครั้งละ 1 แผ่น โดยโหลดจากตัวฟรอนท์ด้านหน้า นอกจากนั้นยังติดตั้งระบบนำทาง (Navigator) มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรุ่นไฮคันทรี่ด้วย
นอกจากนั้น หน้าจอ MyLink ยังสามารถใช้เป็นกล้องมองหลังเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลังได้ ซึ่งนอกจากจะมาพร้อมเส้นกะระยะที่เคลื่อนไหวได้ตามการหมุนของพวงมาลัยแล้ว เชฟโลเลตยังคงเลือกที่จะไม่ตัดเซ็นเซอร์ถอยหลังออกเหมือนกับรถหลายๆ ยี่ห้อ ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ไม่ถนัดมองจากหน้าจอ เนื่องจากหลายๆ ครั้งด้วยมุมมองที่กว้างของตัวกล้องอาจทำให้กะระยะพลาดได้ง่ายๆ
เลื่อนลงมาเป็นแผงควบคุมระบบปรับอากาศอัตโนมัติหน้าตาคุ้นเคยกันดี พร้อมหน้าจอแสดงความแรงพัดลมและอุณหภูมิขนาดใหญ่ ใช้งานง่าย ซึ่งระบบแอร์ใน โคโลราโด ไฮคันทรี่ นั้น ให้ความเย็นดี หมดห่วงเรื่องการขับขี่ท่ามกลางสภาพอากาศอันร้อนระอุในบ้านเรา เพราะแม้รถทดสอบที่เราขับกันนั้นไม่มีฟิล์มกรองแสงติดมาให้ แต่ก็ไม่รู้สึกร้อนจากแสงแดดแต่อย่างใด
Colorado High Country ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล Duramax ความจุ 2.8 ลิตร หัวฉีดไดเร็คอินเจคชั่นพร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดถึง 500 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
ระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกสองชั้น พร้อมคอล์ยสปริงและโช๊คอัพแก๊ส ด้านหลังแบบแหนบพร้อมโช๊คอัพแก๊ส ระบบเบรกแบบหน้าดิสก์ หลังดรัม ตามฉบับรถกระบะขนาด 1 ตันทั่วไป
มิติตัวถังของโคโลราโดมีความยาว 5,360 มิลลิเมตร กว้าง 1,882 มิลลิเมตร สูง 1,798 มิลลิเมตรในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ (1,795 มิลลิเมตรในรุ่นขับเคลื่อนสองล้อ) ระยะฐานล้อยาว 3,096 มิลลิเมตร
ระบบความปลอดภัยของโคโลราโด ไฮ คันทรี่ ติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า, เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดทั้ง 5 ที่นั่ง, ระบบเบรก ABS/EDB, ระบบช่วยเบรกกะทันหัน PBA, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESC, ระบบป้องกันล้อฟรี TCS, ระบบช่วยเบรกขณะเข้าโค้ง CBC, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อลงทางลาดชัน HDC เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
เส้นทางที่ใช้ทดสอบในครั้งนี้ เราเดินทางออกจากแหลมพันวาจังหวัดภูเก็ต มุ่งหน้าไปยังสนามบินนานาชาติจังหวัดกระบี่ รวมระยะทางทั้งสิ้นราว 200 กิโลเมตร ซึ่งเราเองได้มีโอกาสทดสอบทั้งการเป็นผู้ขับและผู้โดยสาร เพื่อมาบอกเล่าให้คุณผู้อ่านได้อย่างเต็มที่
เชฟโรเลต โคโลราโด ไฮคันทรี่ ที่เราได้มอบหมายทดสอบเป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งอย่างที่บอกไปข้างต้นว่าอ็อพชั่นต่างๆ แทบจะเหมือนกับรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อทุกประการ
เมื่อก้าวเข้ามายังห้องโดยสารภายใน เห็นได้ชัดเจนว่ามีการปรับปรุงให้ดูพรีเมี่ยมยิ่งขึ้น ทั้งวัสดุสีดำเงาแบบเปียโนแบล็กบริเวณคอนโซล และเบาะนั่งโดยสารหุ้มหนังสีน้ำตาลเข้ม ภายในยังคงความกว้างขวาง นั่งสบาย ไม่อึดอึด พวงมาลัยมีความหนากำลังดี กระชับมือ แต่เสียดายที่ไม่สามารถปรับเข้า-ออกได้ ต้องใช้การปรับเบาะเข้าหาแทน
อัตราเร่งของเครื่องยนต์ดีเซลดูราแม็กซ์ขนาด 2.8 ลิตร ที่ให้แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ถือว่าให้กำลังดี อาจไม่ถึงกับจี๊ดจ๊าดในช่วงออกตัว แต่แรงบิดก็ไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่อง อัตราทดเกียร์ 6 จังหวะช่วยให้อัตราเร่งลื่นไหล และสามารถเรียกกำลังสูงสุดได้ต่อเนื่อง ซึ่งเกียร์ลูกนี้ก็ไม่มีอาการกระตุกให้เห็นแต่อย่างใด จะมีบางจังหวะที่รู้สึกว่าการเปลี่ยนเกียร์เฉื่อยไปนิด แต่ก็อยู่ในระดับเกียร์อัตโนมัติทอร์คคอนเวิตเตอร์ทั่วไป ไม่ได้น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด
ช่วงล่างของ โคโลราโด ไฮคันทรี่ ถูกเซ็ตมาค่อนข้างนุ่มนวล เน้นการซับแรงสั่นสะเทือน โดยรวมค่อนข้างนิ่มกว่าคู่แข่งในตลาดหลายๆค่าย เหมาะสำหรับการขับขี่ที่ไม่ได้เน้นการบรรทุกของ แต่เน้นการใช้งานในชีวิตประจำวัน พาครอบครัวเดินทางไปเที่ยวไกลๆได้ ซึ่งก็เข้ากับคอนเซ็พท์ของไฮคันทรี่ที่ต้องการเน้นการใช้งานเชิงไลฟ์สไตล์มากกว่าอยู่แล้ว
เมื่อพูดถึงการใช้งานในครอบครัว เบาะนั่งด้านหลังของ โคโลราโด ไฮคันทรี่ ถือว่าเป็นเบาะหลังรถกระบะที่นั่งสบายรุ่นหนึ่งเลยทีเดียว ตัวเบาะรองนั่งมีขนาดใหญ่ รองรับพื้นที่ช่วงต้นขาได้ดี ติดตั้งพนักพิงศีรษะปรับระดับได้ 3 ตำแหน่ง รองรับผู้โดยสารคนกลางได้เต็มรูปแบบ
ขณะที่ฟีลลิ่งการเบรกนั้น ถูกปรับปรุงดีขึ้นมาก ด้วยแป้นเบรกที่แม้จะปรับให้ตื้นขึ้นกว่าเดิม แต่ยังสามารถชะลอความเร็วได้ตามน้ำหนักเท้า ไม่มีอาการหน้าทิ่มให้เห็น ถือว่าควบคุมได้ง่ายตามใจสั่ง
สรุป เชฟโรเลต โคโลราโด ไฮคันทรี่ แม้จะไม่ใช้รุ่นใหม่ถอดด้ามหรือไมเนอร์เชนจ์ แต่ก็เพิ่มความน่าใช้ด้วยการตกแต่งรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูสมบุกสมบันยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับภายในที่เพิ่มฟังก์ชั่นและความหรูหราใกล้เคียงกับ‘Trailblazer’ พีพีวีร่วมค่ายของเชฟโรเลต
เครื่องยนต์ดีเซลแรงบิด 500 นิวตัน-เมตรให้การตอบสนองดี ช่วงล่างเน้นความนุ่มนวล นั่งสบาย เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
ราคาจำหน่าย
- Chevrolet Colorado High Country 4x2 ราคา 969,000 บาท
- Chevrolet Colorado High Country 4x4 ราคา 1,029,000 บาท *รุ่นที่ใช้ในการทดสอบ
ขอขอบคุณผู้บริหารและฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติเชิญทีมงานเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้
อัลบั้มภาพ 30 ภาพ