ขับแล้วโทรยังไงก็ไม่ปลอดภัย แม้ใช้ "แฮนด์ฟรี"
หากพูดถึงเรื่องราวการใช้รถใช้ถนนในปัจจุบันแล้ว เรื่องหนึ่งที่ดุเหมือนจะมีการรณรงค์และห้ามมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นคงไม่พ้นเรื่องของการ "ขับแล้วโทร" ซึ่งมีกฏหมายในบ้านเราออกมาบังคับใช้อย่างจริงจัง แต่ก็ยังไม่ได้ช่วยลดปัญหาเท่าที่ควรจะเป็น
พฤติกรรม "ขับแล้วโทร" นั้นถือเป็นพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงในการใช้รถใช้ถนน ซึ่งไม่เฉพาะในไทยเท่านั้นที่ไม่ได้ผลแต่กระทั่งในสหรัฐอเมริกาประเทศชั้นนำเองที่มีการกวดขันอย่างหนักพฤติกรรมขับแล้วโทร ก็ยังมีอยู่อย่างกว้างขวาง แต่หากคุณเคยได้รับคำแนะนำว่าขับแล้วไม่ยกหูใช้แฮนด์ฟรีแทนก็ได้นั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่จริง เพราะการวิจัยล่าสุดในสหรัฐได้ชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามที่คุณต้องทำกิจกรรม 2 อย่างภายในรถ นั่นหมายถึงหนทางสู่อุบัติเหตุ
เมื่อช่วงปีที่ผ่านมาสมาคมความปลอดภัยทางถนนในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือในขณะขับรถ โดยเฉพาะ การใช้อุปกรณ์เสริมหรือแฮนด์ฟรี เพื่อช่วยในการสนทนา ซึ่งจากข้อมูลกว่า 350 หน้าที่ถูกตีพิมพ์ออกมาล่าสุด โดยศึกษาวิจัยข้อมูลตั้งแต่ปี 2000 ถึงปัจจุบัน พบว่า การใช้อุปกรณ์เสริมนั้นไม่ได้ช่วยให้ผู้ขับขี่เสียสมาธิน้อยกว่าการใช้มือถือทั่วๆไปเลยแม้แต่น้อย
แม้การขับแล้วโทรอาจจะดูเสี่ยงมากขึ้นจากรายงาน แต่พฤติกรรมที่เสี่ยงที่สุดขณะขับขี่นั้นก็ไม่พ้นการส่งข้อความ(Texting) ขณะขับขี่ที่จะดึงดูดสมาธิขับรถมากกว่าปกติ แต่ในการศึกษาก็ยังพบว่าเมื่ออยู่ในช่วงสถานการณ์คับขัน ผู้ขับขี่จะให้ความสนใจในการขับขี่มากกว่าการสนทนาในโทรศัพท์ ซึ่งทำให้มีสมาธิในการขับขี่ใกล้เคียงกับผู้ที่ไม่ได้ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ
อย่างไรก็ดีการศึกษาครั้งนี้ทำให้เราได้รับความรู้ในการขับแล้วโทรมากขึ้น ในขณะที่ประธานสมาคมความปลอดภัยทางถนนได้กล่าวว่า รัฐควรจะใส่ในการศึกษาเรื่องนี้มากขึ้นเพื่อออกข้อห้ามในการบังคับผู้ขับขี่ ในขณะที่ปัจจุบันมี 9 รัฐในอเมริกา ออกกฏหมายห้ามโทรศัพท์ขณะขับรถในทุกรณี และมีอีก 34 รัฐห้ามในการส่งข้อความขณะขับรถ
Sanook! Auto Comment
พฤติกรรมขับแล้วโทรนั้นยังเป็นเรื่องที่ได้รับการพูดถึงอย่างมาก โดยเฉพาะในปัจจุบันที่โทรศัพท์มือถือก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสื่อสาร แต่หากวันนี้ขับแล้วโทรอยู่ก็ควรเลิกเสียและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ในขณะขับขี่ เพื่อความปลอดภัยตัวเองและเพื่อนร่วมเดินทาง