GM ผนึก LG ลุยตลาด EV
General Motor ลงนามกับ LG ร่วมต่อยอดพัฒนารถไฟฟ้า มั่นใจสร้างวัฒนธรรมไร้ไอเสียพร้อเป้าประหยัด 23.2 กิโลเมตรต่อลิตร
บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส จำกัด และ แอล จี กรุ๊ป ผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ได้ร่วมลงนามในการนำความเชี่ยวชาญด้านการผลิตแบตเตอรี่และระบบอื่นๆ ของแอลจีมาพัฒนาและเพิ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นต่างๆให้เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ทางแอลจีเองก็จะได้โอกาสขยายไลน์ธุรกิจในด้านการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านยานยนต์เช่นเดียวกัน
Opel Ampera
นาย สตีฟ เกิร์สกี้ รองประธานบริษัท เจนเนอร์รัล มอเตอร์ จำกัด หรือ GM กล่าวว่า ความต้องการที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ หากเราร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ผู้บริโภคก็จะได้รับประโยชน์จากการได้ใช้เทคโนโลยีประหยัดน้ำมันใหม่ล่าสุดเร็วขึ้น ทั้งยังประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในกระบวนการการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวด้วย
"ความสำเร็จของระบบขับเคลื่อนที่สามารถใช้งานได้เป็นระยะทางไกลมากขึ้นใน Chevrolet Volt และ Opel Ampera ได้นำไปสู่การแสวงหาความร่วมมือมากขึ้น ซึ่งทั้งจีเอ็ม และแอลจี จะร่วมมือกันพัฒนาในส่วนขององค์ประกอบหลักของรถ รวมไปถึงโครงสร้างและสถาปัตยกรรมยานยนต์ โดยรถที่เกิดจากความร่วมมือในการพัฒนาโดยทั้งสองบริษัทนี้จะออกจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลก
ด้านนายจูโน โช ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการแอลจีคอร์ป กล่าวว่า นี่คือกลยุทธ์การพัฒนาของแอลจี และเราพร้อมอย่างเต็มที่ในการสนับสนุนและเดินไปพร้อมกับจีเอ็มในการเป็นที่จะเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์อันดีของจีเอ็ม และแอลจีนั้น เริ่มต้นจากที่ แอลจีได้เป็นผู้ผลิตเซลล์แบตเตอรี่ให้กับ เชฟโรเลต โวลต์ และโอเปิล แอมเพอรา นอกจากนี้ ยังได้มีการพัฒนา Chevrolet cruze EV เพื่อมอบให้แก่คณะกรรมการประชุมสุดยอด จี 20 ณ กรุงโซล ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทดสอบตลาดเพื่อเรียนรู้ทางด้านของขีดข้อจำกัดและสมรรถนะอีกด้วย
Chevrolet Volt
อย่างไรก็ดี ล่าสุด หลายประเทศทั่วโลกได้ประกาศข้อกำหนดของอัตราการปล่อยมลภาวะ และอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิงที่เข้มงวดรวมไปถึงข้อตกลงล่าสุดเกี่ยวกรอบแนวคิดค่าเฉลี่ยอัตราการบริโภคน้ำมัน (CAFE) ในสหรัฐฯ ซึ่งกำหนดอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานของยานยนต์ที่ผลิตในช่วงสิ้นปี 2568 ให้ลดลงเหลือ 54.5 ไมล์ต่อแกลลอน (หรือ 23.2 กิโลเมตรต่อลิตร) โดยคาดการณ์กันว่า ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยมลพิษและไม่พึ่งพาการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจะมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว