แตะเบรค :... "ขับแล้วโทร" เรื่องส่วนตัวอันตราย เสี่ยงตายมากกว่าที่คิด

แตะเบรค :... "ขับแล้วโทร" เรื่องส่วนตัวอันตราย เสี่ยงตายมากกว่าที่คิด

แตะเบรค :... "ขับแล้วโทร" เรื่องส่วนตัวอันตราย เสี่ยงตายมากกว่าที่คิด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ก็พบกันมานมนานแล้วนะครับพี่น้องชาว Sanook! Auto ทุกท่าน ที่ครั้งนี้นั้นทางเว็บไซต์เราได้มีแนวคิดใหม่ในการทำคอลัมน์เกี่ยวกับเรื่องราวยานยนต์สังคมถนน และนี่เป็นที่มาของคอลัมน์แตะเบรค คอลัมน์หนักๆแบบเบาๆ ที่จะมาเจอกันทุกวันอังคาร โดยประมาณ และหาอ่านได้ที่นี่ที่เดียว

"ผมขับแล้วโทร คุณยุ่งอะไรด้วย" นี่เป็นประโยคจากชายผิวขาววัยกลางคน ที่ตะโกนใน Honda Jazz สีเทา หลังจากที่เขาขับแล้วโทร แถมดันมาเบียดรถของทีมงานเรา ในช่วงวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ คำพูดที่ไม่รู้สึกรู้สาราวกับว่า การขับแล้วโทรเป็นเรื่องปกติของคนขับรถทุกวันนี้ ทำให้เป็นอีกครั้งที่เราต้องมาหยุดพฤติกรรมที่ไม่สร้างสรรค์แบบนี้และปรับแนวคิดใหม่ไม่ใช่กับชายคนนั้น แต่กลับเพื่อนเราๆท่านๆ ที่อาจจะมองว่าแค่โทรประเดี๋ยวไม่เป็นไรหรอก

อุบัติเหตุจากขับแล้วโทรนั้นอาจจะไม่มีอะไรชัดเจนเท่ากับเมาแล้วขับ เพราะหลายครั้ง สิ่งที่ไม่เป็นหลักฐานเหมือนกลิ่นเหล้าแถมยังลบเบอร์โทรออกครั้งสุดท้า ยที่สามารถทำได้ในโทรศัพท์ทุกรุ่นในปัจจุบันทำให้หลายคนพ้นผิดไปได้จากข้อหาขับแล้วโทร หรือพูดง่ายๆว่าถ้าไม่จับได้คาหนังคาเขา ก็คงไม่มีใครรับว่าขับแล้วโทรเป็นแน่แท้

ทำไมเรื่องขับแล้วโทรถึงเป็นประเด็นสำคัญนักหน้า ทั้งที่เป็นเรื่องส่วนตัว ..คำตอบนั้นง่ายมากมันอยู่ที่การสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นจากการขาดความมีสมาธิของคุณระหว่างที่คุณโทรศัพท์ โดยเรื่อง "ขับแล้วโทร" เป็นเรื่องที่มีการศึกษากันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2003 เมื่อ Société de l'assurance automobile du Québec (SAAQ) ได้ตอบแบบสอบถามกับผู้ใช้รถกว่า 175,000 คน โดยจากจำนวนนี้มีกว่า 36,078 คน ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง แต่เมื่อมาวิเคราะอัตราความเสี่ยงเกี่ยวข้องแล้วกับพบว่า โทรศัพท์มือถือเป็นปัจจัยสำคัญในการก่อให้เกิดอุบัติเหตุ

เมื่อปี 2010 สำนักความปลอดภัยทางหลวงสหรัฐหรือ NHTSA ได้เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตุที่มีผลสืบเนื่องจากความไม่มีสมาธิในการขับขี่รถยนต์ โดยพบว่าในอเมริกาเองมีคนเสียชีวิตจากกการขาดสมาธิในการขับรถ 5,474 คน โดยในจำนวนอีกกว่า 995 คนนั้น เสียชีวิตจากการถูกชนโดยคนที่ขับแล้วโทร

ตัวเลขที่ชัดเจนในจำนวนนี้ถูกระบุว่าเป็นอุบัติเหตุที่ตายเพราะขับแล้วโทรมากถึง 5% เป็นรองเพียงการขาดสมาธิในการขับขี่ ที่สูงสุด 13% หรือจะว่าไปมีคนอย่างน้อย 274 คนในสหรัฐที่เสียชีวิตด้วยการขับแล้วโทร แล้วถ้ามองภาพรวมทั่วโลก มันน่าจะอยู่ที่เท่าไรกัน ???

ตัวเลขที่บ่งชัดนี้อาจจะไม่ทำให้หลายคนรู้สึกอะไรมากและจากการโทรก็เปลี่ยนไปสู่การส่งข้อความหรือ Texting ที่อันตรายมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังดีที่บางคนหันมาใช้ Handfree หรือเชื่อมต่อ Bluetooth แต่ก็มีการวิจัยออกมาหลายตัวที่บ่งชี้ชัดว่ามันยังไม่ปลอดภัยเพียงพอ หากแต่เป็นเพียงภาพที่ถูกฉายให้ความเข้าใจแบบผิดๆ เท่านั้น

ความจริงแล้วการใช้ ระบบแฮนด์ฟรีนั้นค่อนข้างมีความยุ่งยากในารใช้งานไม่น้อย ไม่ว่าจะการเสียบแจ๊ค ถ้าใช้แบบหูฟังรุ่นเก่า ไปจนถึง ไหนจะเสียบหู-กดรับ ต่างๆมากมายที่ทำให้มันซับซ้อนมากยิ่งขึ้น แต่ประเด้นัน้นกลับไม่ใช่อยู่ที่อุปกรณ์หากแต่อยู่ที่สมาธิการขับขี่ โดยจากการศึกษาของ มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon ที่พบว่ าเมื่อคนเราฟังคนอื่นพูดนั้นจะมีสมาธิลดลงกว่า 37% เลยทีเดียว นั่นเท่ากับว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย

แน่นอนประเด็นสำคัญนั้นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าขับแล้วโทรจะชนหรือไม่ แต่มันหมายถึงการสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าคุณชนเอง หรือเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนอื่นเขาเกิดอุบัติเหตุก็ตาม แต่ไม่ว่าจะด้านใดจะเห็นว่าการ "ขับแล้วโทร" ไม่ได้ส่งผลดี ฉะนั้นเลิกเสียแต่วันนี้จะดีกว่า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook