Sanook! Drive : New! Ford Ranger 6M/T ได้เวลาไปลุยกับยอดกระบะ
ตั้งแต่ที่เราติดตามรถยนต์รุ่นใหม่มาช่วงปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าในกลุ่มรถยนต์กระบะในเวลานี้ Ford Ranger เป็นรถที่ตอบได้ทุกอบ่าง ทั้งสมรรถนะและการออกแบบ จนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นรถยนต์รุ่นนี้ มาวิ่งบนถนนแล้วหลายคัน
แม้จะเป็นเรื่องที่ดีถึงการออกมาโชว์หน้าตาอย่างแท้จริงบนถนน แม้จะขลุกขลักกับการส่งมอบรถที่ยังเป็นปัญหากันอยู่บ้าง แต่ที่หลายคนอยากรู้ไม่แพ้กัน คือรถรุ่นนี้จะลุยได้ดีแค่ไหน และล่าสุด Ford ก็พาเราไปลองลุยโชว์สมรรถนะรถรุ่นนี้กัน
ดูดีเหมือนที่ผ่านมา
แม้ในช่วงปีที่ผ่านมาจะมีรถกระบะออกมาหลายรุ่น แต่เมื่อพูดถึงทรวดทรงที่แตกต่างจากรุ่นเก่าโดยสิ้นเชิงจากความตั้งใจจริง ที่เป็นต้นกำเนิดกระบะยุคใหม่จากค่ายอเมริกัน การชักธงรบของ Ford คือการมุ่งเน้นมากกว่าแค่สร้างรถ แต่ยังมุ่งใส่ใจในรายละเอียดของตัวรถมากยิ่งขึ้น
เราผ่านตาในรายละเอียดของรถรุ่นนี้กันไปพอสมควรและครั้งนี้เช่นกัน ใบหน้าเดิมๆกลับมาอีกครั้งเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า เน้นในการนำเสนอความทันสมัยของตัวรถแต่ไม่ทิ้งความแข็งแกร่งดุดัน ต้อนรับด้วยกระจังหน้าโครเมี่ยม 3 แถบ ลงตัวกับเส้นสายที่ดูใหญ่และมีเนื้อหนังตั้งแต่ ด้านหน้าจรดบั้นท้าย และความสูงโปร่งช่วยบ่งบอกความเป็นอเมริกันแท้ของตัวรถ
ด้านในห้องโดยสาร ก็ไม่แตกต่างกันจากที่เราเคยได้สัมผัส ทุกอย่างจัดวางได้ลงตัว ด้านหน้ารถมีทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยม จนต้องยกนิ้วให้ แม้แต่คู่หูการเดินทางของเราครั้งนี้ที่เป็นผู้หญิง ตัวเล็กไม่สูงมากยังขับได้สบาย แต่เธอฝากติเล็กน้อยที่รถมีขนาดใหญ่ในการขับขี่ ทว่าเราอยากบอกว่าผู้หญิงคนไหนขับ Ranger ใหม่ ได้จะดูแมนขึ้นอีกเป็นกองเลยทีเดียว
เกียร์ธรรมดา..ตัวเลือกขับมันส์ถ้าคุณต้องการ
ในครั้งที่แล้ว ที่เราขับเจ้า Ford Ranger ใหม่ ทั้งในการไปทดสอบ Group Test และนำมาขับในเมือง ทั้งหมดเป็นการขับขี่ในระบบเกียร์อัตโนมัต แต่งานนี้คือครั้งแรกที่เราได้มาจับเกียร์ธรรมดาในรถรุ่นนี้ และก็ประทับใจดีเช่นกัน
ตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทางเราเริ่มเห็นชื่อของเราที่ลงท้ายด้วยคำว่า Manual เราเลยขอแอบถามทางผู้จัดว่า มันหมายความอย่างไร และเราก็ได้คำตอบว่า มันหมายถึงทริปนี้ขับยาวกับเกียร์ธรรมดา และเราไม่เกี่ยงที่จะตอบปฏิเสธ เพราะ นี่คืออีกหนึ่งประสบการณ์ที่เราเองก็ลืมไปเสียสนิท และเมื่อเดินมาถึงที่รถ เราก็ได้รับสัญญาณให้ขับเป็นไม้แรกในการเดินทางไปยังปลายทางสวนผึ้ง.. ในทริปนี้
ต้องยอมรับว่าการขับ Ford Ranger เกียร์ธรรมดา ค่อนข้างให้ความแตกต่างที่สามารถรู้สึกได้ แม้ปัจจุบันเกียร์ธรรมดา อาจจะโดนมองข้ามไปพอสมควร แต่สำหรับรถกระบะแล้วเกียร์ธรรมดายังเป็นที่ต้องการ ด้วยในเรื่องของการตอบสนองมากกว่าความสะดวกสบายแบบรถยนต์ที่ใช้งานเพื่อบรรทุกมากกว่า
ย่ำคลัทช์ลงไป สับเกียร์ขึ้นไปในตำแหน่งเกียร์ 1 ความรู้สึกของ ford Ranger ในเวอร์ชั่นกียร์ธรรมดาให้การตอบสนองที่ค่อนข้างลงตัวด้วยอารมณ์เดียวกับรถเก๋ง แม้ความหนักของคลัทช์อาจจะถือว่าพอไปวัดไปวาได้ แต่จากการจับจังหวะคลัทช์เราพบว่า คัลทช์ Ranger เป็นลักษณะ 2 แผ่น คือ มี 2 จังหวะ ทำให้อาจจะไม่เป็นที่คุ้นเคยสำหรับใครหลายคนที่ขับเกียร์ธรรมดา แถม Ford ยังพัฒนาช่วงโยนด้ามเกียร์ให้มีความสั้นช่วยในการตอบสนอง ที่เรียกว่า short Shifter แม้จะดูแข็งๆไปหน่อย แต่ก็เหมาะดีสำหรับความเป็นกระบะ ที่มีความสปอร์ต
จำนวนเกียร์ที่ให้สับกันมากถึง 6 ตำแหน่ง ทำให้รถกระบะคันนี้อาจจะมีความวุ่นวายในการขับขี่สักนิดหน่อย เพราะในช่วงเกียร์ 3-4 และ 5 จะมีอัตราทดที่ค่อนข้างชิดเพื่อ เน้นในการตอบสนอง และเมื่อสับเกียร์ไปยังตำแหน่งสุดท้าย ที่มีอัตราทด 0.794 มันก็ให้ความไหลลื่นในการขับขี่มากขึ้นเหมาะสำหรับขับเดินทางไกล
หลังจากผ่านพ้นเขตเมืองที่บุกตะลุยมาตั้งแต่ซอยอารีย์ ยันสะพานซังฮี้ การเดินทางนอกเมืองของเราก็เริ่มต้นขึ้น โดยระหว่างที่ขับ ก็สังเกตว่ามีไฟที่เป็นรูปลูกศรชี้ขึ้นสีเขียวติดเป็นประจำ และบ่อยครั้ง จนในท้ายที่สุดเราก็ได้คำตอบมาว่า มันคือไฟเตือนให้ขึ้นตำแหน่งเกียร์ หรือที่ภาษารถซิ่งชอบเรียกว่า Shift light นั่นเอง
การทำงานของไฟ Shift light นี้ค่อนข้างมีประโยชน์ในเรื่องความประหยัด แต่บางครั้งมันก็อาจจะน่ารำคาญสำหรับคนชอบลากรอบเครื่องยนต์และเหมือนดาบสองคม ด้วยการมุ่งให้เกิดความประหยัดแต่ท้ายที่สุดมันก็อาจจะทำให้ชุลมุนเรื่องตำแหน่งเกียร์ โดยเฉพาะเจ้าเครื่องยนต์บล็อค 2.2 ลิตร ที่ให้พละกำลัง 150 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 375 นิวตันเมตร ที่ 1500 - 2500 รอบต่อนาที เพราะ ระบบไฟเตือนมักจะขึ้นมาทันที่คุณเข้าสู่ช่วงรอบแรงบิดสูงสุด ทำให้บางครั้งอาจจะไม่เหมาะกับช่วงที่มีการจราจรหนาแน่น
ได้เวลาลุยกับเวอร์ชั่น 4X2
เมื่อมาถึงจุดนัดหมายแรกเราได้มีการเปลี่ยนคนขับเพื่อให้คู่หูสาวงามได้มีโอกาสทดลองเจ้า Ranger ใหม่บ้าง และจัดยาวจนมาถึงปลายทางที่สวนผึ้งก่อนที่จะเข้าอบรมการขับขี่การขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เป็นจุดขายหลักของ Ford Ranger
หลังจากฟังการบรรยายเรียบร้อยเราก็ได้เวลาลงสนาม โดยมีการแบ่งเป็น 2 ภาค ที่สำคัญคือ การขับในแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ เป็นระยะทางกว่า 3 ก.ม. และ การขับเคลื่อน 4 ล้อ ในสนาม และเส้นทางที่จัดเตรียมไว้กว่า 6 ก.ม.
หลายคนที่ซื้อรถกระบะและต้องการรถยนต์คันนั้นไว้เพื่อสนองต่อการขับขี่เพื่อการพักผ่อน คงมักจะชอบมองรถยนต์ประเภทขับเคลื่อน 4 ล้อมากกว่า ด้วยแนวคิดที่มาจากการบุกตะลุยที่มาจากโฆษณาทั้งที่ความจริงรถขับเคลื่อน 2 ล้อ ธรรมดาๆ โดยเฉพาะตัวยกสูง ก็ให้การตอบสนองที่ดีไม่แพ้กัน
เราได้มีโอกาสคุยเรื่องนี้ระหว่างที่เราเริ่มการทดสอบของ Ford Ranger 4X2 ในเวอร์ชั่นลุยแบบถึงกึ๋น ที่ไม่ค่อยมีใครจะทำกัน โดยเส้นทางระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร ได้ใช้เส้นทางจริงของป่าแถวราชบุรี ที่มีสภาพเป็นดินโคลน บวกกับเส้นทางลูกรังบางพื้นที่เป็นลักษณะของดินทรายเข้าผสม มีทางขึ้นและทางลงชัน ที่ทั้งหมด คุณจะต้องพบแน่ ในการใช้งานจริง
ในการเดินทางในเส้นทางนี้ Ford Ranger ที่เราขับยังเป็นเวอร์ชั่นเกียร์ธรรมดา ที่ต่อตรงมาจากเครื่องยนต์ขนาด 2.2 ลิตร 150 แรงม้าให้กำลังที่ดี แต่กับการตะลุยแบบนี้แรงบิดถือเป็นปัจจัยสำคัญเสียมากกว่า ที่ให้ถึง 375 นิวตันเมตร มาแบบไม่ต้องรอลุ้น มาตั้งแต่ 1500- 2500 รอบต่อนาที
ปกติแล้ว การเดินทางในเส้นทางที่มีอุปสรรค การขับขี่มักจะใช้วิธีการค่อยๆ เคลื่อนผ่านอุปสรรคด้วยการเดินเบารอบเครื่องยนต์หรือที่เรียกว่า Walking Speed ซึ่ง Ford Ranger ก็ไม่ทำให้ผิดหวังกำลังเครื่องยนต์สามารถตอบสนองกำลังถ่ายทอดลงชุดเพลาไปยังล้อได้อย่างดีเยี่ยมไม่มีสะดุด ด้วยส่วนหนึ่งจากคลัทช์ที่เราเชื่อว่ามันน่าจะเป็นแบบ 2แผ่นซ้อนจากระยะ 2 ช่วงของการเหยียบที่สามารถรู้สึกได้จากรถคันนี้
การเดินทางในย่านรอบเครื่องเดินเบาช่วยให้รถ 4X2 สามารถผ่านอุปสรรคไปได้ แม้จะไม่มีระบบช่วยในการกระจายกำลังไปยังล้อหน้า และเมื่อเริ่มเจออุปสรรค์ที่มากขึ้นเช่นเนินชันการใช้กำลังเครื่องยนต์เข้ามาช่วยในฟันฝ่าอุปสรรคก็เป็นปัจจัยสำคัญมากขึ้น และเราสามารถผ่านไปได้เพียงเรียกกำลัง 375 นิวตันเมตรมาช่วยเท่านั้น ซึ่งต้องยอมรับว่าเส้นทางที่ถือว่าหินพอสมควรแต่ไม่ได้มากมายอะไรนัก
ได้เวลาของจริงกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
แม้ว่าการลองขับเจ้าตัวขับเคลื่อน 2 ล้อ ไปในป่า จะทำให้เราต้องยอมรับเรื่องสมรรถนะเครื่องยนต์และช่วงล่างที่สามารถไว้ใจกันได้ แต่ข้อจำกัดของระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ก็ยังเป็นสิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับเราอยู่พอสมควรเช่นกัน ในการบุกตะลุย และ นั่นคือสิ่งที่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อก้าวเข้ามารับช่วงต่อถ้าคุณเป็นขาลุยตัวจริง
การขับรถที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ นอกจากสมรรถนะของรถที่จะไว้ใจได้แล้ว สำคัญก็อยู่ที่การรู้จักขับขี่ด้วย ซึ่งเราเองก็เริ่มต้นในสนามฝึกก่อน จะออกสู่ภาคสนามจริง และยังเป็นการโชว์สมรรถนะของ Ranger ที่พร้อมลุยทุกที่จริง
เมื่อเรามานั่งหลังพวงมาลัยของ Ford Ranger ในเวอร์ชั่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่กำลังจะพาเราฝ่าอุปสรรคต่างๆ เราได้มีโอกาสลองกับหลากสถานการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นจริง ทั้ง เนินชัน ทางโคลน ทางทราย เนินสลับ หรือจะเป็นการตะลุยน้ำที่มีความสูงกว่า 80 ซ.ม. ที่หลายคนอาจจะกำลังมองหาอยู่สำหรับไว้ลุยน้ำท่วมหลังช่วงปลายปีที่ผ่านมา
การขับขี่ในสภาวะลุยเต็มพิกัดด้วยอุปสรรคที่มากมาย แม้จะเป็นการขับขี่ที่ฟังดูแล้วจะค่อนข้างยาก แต่มันก็ตอบโจทย์เรื่องนี้เอาง่ายๆ ถึงเราจะขับรถรุ่นเกียร์ธรรมดาก็ตามที
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย คงต้องยอมรับในพละกำลังของเครื่องยนต์ที่เหลือเฟือ รวมถึงการออกแบบมิติตัวรถให้ตอบสนองได้ดี ทั้งในเรื่องของมุมปะทะและมุมจากใน Ford Ranger ใหม่ ที่มันเกิดมาเพื่อลุยจริงๆสมความเป็นกระบะพันธุ์แกร่งอเมริกัน ที่ค่ายนี้เคยให้นิยามว่า "Built Tough"
หลังจากอิ่มหนำจากการเดินทางในสมรรถนะลุยเต็มขีดความสามารถในทุกอุปสรรคใน Ford Ranger ใหม่ สมรรถนะที่ตอบสนองอย่างลงตัวคือสิ่งที่ทำให้เราอมยิ่มหลังจากจบทริป แม้ขับ 4 อาจจะเป็นที่ชอบของขาลุยตัวจริง แต่ถ้าไม่ได้เข้าป่ามากมายนัก บางที่น่าจะลองมองขับ 2 ยกสูงดู เพราะมันไม่ได้สพคัญวย่ารถจะตอบโจทย์ได้หรือไม่ แต่บางครั้ง มันสำคัญที่ คุณจะดึงสมรรถนะมันออกมาได้เต็มที่หรือเปล่า ...สวัสดี
อัลบั้มภาพ 34 ภาพ