Sanook ! Drive : Mitsubishi Mirage GLS. LTD อีกอีโค่คาร์ที่มีดีไม่แพ้ใคร
ตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา Mitsubishi Mirage ดูจะตกเป็นข่าวมาตั้งแต่เมื่อเริ่มเปิดตัวต้นแบบ จวบจนเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ประเทศไทย ในฐานะรถยนต์ประหยัดพลังงานรักษาสิ่งแวดล้อม หรือ "อีโค่คาร์" ที่กำลังเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก
การมาถึงของ Mirage สร้างกระแสที่ฮือฮาไม่เหมือนใครด้วยการชูตัวเลขประหยัดสูงสุดมากกว่าทุกเจ้าในตลาดเคลมที่ 22 ก.ม./ลิตร และแม้เราจะไปพิสูจน์คันนี้กันมาแล้วในสนามพีระฯ แต่ นี่คือบททดสอบจริงครั้งแรกในถนน...
ภายนอกดูดี เป็นห่วงแค่เรื่องยาง
ตั้งแต่เปิดตัว Mitsubishi Mirage ให้ความโดดเด่นมาก ในเรื่องของการประหยัด แต่แม้รถคันนี้เกิดมาเป็นม้าใช้ มันก็ยังดูจะต้องตอบโจทย์อื่นด้วย เช่นการออกแบบ ที่แม้จะไม่เด่นมากมายในแบบสปอร์ตแต่ก็ให้ความลงตัวกับเส้นสาย เริ่มจากการคงเอกลักษณ์ของ Mitsubishi ผสานดีเอ็นเอเรื่องอากาศพลศาสตร์ ตามฉบับ "จิตวิญญาณแห่งการแข่งขัน" จากใบหน้าที่ดูเฉียบคม ต่อเนื่องรอบคัน และมีลูกเล่นด้านพลวัตรลมเล็กน้อย
บั้นท้ายต้องยอมรับว่า ในหลายครั้งเรารู้สึกว่ามันขัดกับอารมณ์ทางด้านหน้า หรือคงต้องพูดว่า มันดีได้กว่านี้อีก แต่แค่นี้ก็เรียกว่าเพียงพอ แล้วสำหรับอีโค่คาร์ ทว่าที่เราคงต้องพูดถึงจริงๆคือล้อและยาง ที่จัดขนาดเดียวทุกรุ่น พกล้อขอบ 14 นิ้ว และยางก็ให้แค่ 165/65/R14 เป็นมาตรฐาน ซึ่งมีขนาดที่ค่อนข้างจะเล็กไปหน่อย แต่ก็นำเสนอได้ดีว่า ยางขนาดเล็กย่อมหมายถึงการให้ความประหยัดตามไปด้วย
ภายในเน้นออพชั่น ครบเครื่องทุกความต้องการ
เมื่อเปิดประตูเข้ามาภายในห้องโดยสาร Mitsubishi Mirage ต้อนรับเราด้วยการตบแต่งในสีโทนดำ โดยรถรุ่นที่เราขับวันนี้เป็นรุ่น GLS. Ltd. เป็นรุ่นท๊อปสุดของรถรุ่นนี้ และมันมาพร้อมหลากสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย จนหลายคนอาจจะหลงรัก
ตลาดที่มีการแข่งขันกันสูง ทำให้ Mirage รุ่นท๊อปพกหลากออพชั่นตอบโจทย์ ตั้งแต่ในเรื่องระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ที่การเข้า-ออกรถก็ง่ายด้วยระบบกุญแจอัจฉริยะ Keyless Operation system หรือ KOS แถมยังให้ความบันเทิงที่โดดเด่นกับชุดเครื่องเสียง DVD ขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบนำทาง ทั้งยังสามารถเชื่อมต่อผ่านสัญญาณ Bluetooth ได้
ออพชั่นที่ครบเครื่อง ทำให้เรามีความรู้สึกว่าตัวรถมีความลงตัวมาก แต่สิ่งที่ไม่ค่อยจะเวิร์คเท่าไรนัก เป็นเรื่องของเบาะที่มีช่วงฐานรองนั่งที่ค่อนข้างเล็กไปหน่อย แม้จะพยายามมองว่าตัวผู้ขับขี่มีขนาดสูงใหญ่ (หนัก 93 ก.ก.สูง 182 ซ.ม.) แต่ท้ายที่สุดเราก็ต้องยอมรับว่า มันเล็กไปจริงๆ
สิ่งที่หลายคนอาจจะกังวลคือเรื่องการโดยสารตอนหลัง ซึ่งการออกแบบของ Mitsubishi Mirage ก็ทำได้ดี แม้เรือนร่างที่เล็กอาจจะทำให้ลำบากเล็กน้อย ในการขึ้น-ลงทางด้านหลัง โดยเฉพาะตัวคนสูงใหญ่ แต่เมื่อได้ทิ้งตัวลงไปบนเบาะ มันก็ทำได้ลงตัวมากกว่าที่เราคิด แม้ดันเบาะหน้าสุด เข่าของคนนั่งหลังขนาดเราก็แค่ชนกับเบาะหน้า แต่ไม่ได้ถึงกับเบียด ซึ่งเทียบกับหลายรุ่นถือว่าทำได้ดีเกินคาด ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะก็ยังมีอีกมาก จนน่าเป็นที่พอใจเช่นกัน
ล้อหมุนเดินทางกับ บททดสอบเรื่องประหยัด
หลังจากพร้อมเสร็จสรรพแล้ว ก็ได้ฤกษ์ออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่ปลายทางท่องเที่ยวสำคัญ อ.สวนผึง การเดินทางครั้งนี้ เรามีปัจจัยการทดสอบเป็นบุคคลขนาดไม่ต่างกันมาก สูงและหนักไล่ๆ กันตามที่บอกไปก่อนหน้านี้ โดยงวดนี้เรารับบทเป็นผู้ทดสอบคนแรก เนื่องจากเป็นยามเช้ารถเยอะเลย โดนประกาศิต จากพี่รุ่นใหญ่ "ขับก่อนเลย!!!"
เมื่อขึ้นนั่งจากฝั่งคนขับปรับเบาะจัดแจงท่านั่งเป็นที่เรียบร้อย เราก็เริ่มทำการประเมินในส่วนต่างๆ โดยเฉพาะเบาะนั่งที่นั่งได้กระชับ แต่แผ่นรองนั่งที่สั้นไปเล็กน้อย ทำให้อาจจะไม่ลงตัวกับขนาดของเรา แต่ยังดีมันสามารถปรับเบาะขึ้น-ลง ให้สูง/ต่ำได้ตามความต้องการของผู้ขับขี่ เช่นเดียวกับในเรื่องของการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะคันเกียร์แบบขั้นบันไดในเกียร์อัตโนมัติ ช่วยให้ใช้งานง่ายมากยิ่งขึ้น และ เมื่อมองไปรอบๆ การตบแต่งที่ตัดด้วยออกโทนเงิน หรือจะเป็นมือเปิดภายในแบบโครเมี่ยมสามารถสร้างสีสันได้ดี ยิ่งเมื่อมององค์รวมกับจอเครื่องเสียงและแอร์อัตโนมัติ (เฉพาะรุ่นนี้) ก็ยิ่งลงตัวมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับปุ่ม Push start ให้เสน่ห์ที่ลงตัวในความเป็นสปอร์ต
เครื่องยนต์ที่สตาร์ททิ้งไว้อยู่แล้ว เมื่อเราปลดเกียร์มาตำแหน่ง D มันก็พร้อมออกเดินทางแทบจะในทันที โดยขุมพลังใต้ฝากระโปรงของ Mitsubishi Mirage เป็นเครื่องยนต์ รหัส 3A92 แบบ 3 สูบแถวเรียง ให้กำลังสูงสุด 78 แรงม้า ที่ 6000 รอบต่อนาที ส่วนเรื่องฝีเท้าจัดจ้านแต่ไม่จัดหนัก 100 นิวตันเมตร ที่ 4000 รอบ ต่อนาที แม้ดูแล้วมันไม่ได้เยอะแยะ อะไรมากมายนัก แต่เมื่อเทียบกับรถที่มีน้ำหนักเพียง 870 ก.ก. ถือว่าเหลือเฟือและเพียงพอ
เราเริ่มเดินทางกดคันเร่งผ่านวงแหวนรอบนอกสายตะวันออกยิงยาวสู่ถนนพระราม 2 โดยในการเดินทางนั้น ส่วนใหญ่ใช้ความเร็วเดินทางระหว่าง 100- 110 ก.ม./ช.ม. ที่ถือว่าไม่ช้าและไม่เร็วเกินไปสำหรับรถเล็ก ในความเร็วประมาณนี้ ที่ 2000 รอบต่อนาที มิราจ ตอบสนองด้วยความเร็วถึง 105 ก.ม./ช.ม. และเมื่อเติมไปอีกนิดสู่ 2250 นอบต่อนาที มันก็เดินทางได้ถึง 116 ก.ม./ช.ม.
อัตรารอบเครื่องที่ค่อนข้างประหยัดส่วนหนึ่งก็ได้มาจากระบบเกียร์ CVT โดยระหว่างทางเราลองกดตัวจอแสดงผลอัจฉริยะที่สามารถวัดอัตราประหยัดเฉลี่ยได้ เราพบว่า ตัวเลข 20 ก.ม./ลิตร ไม่ใช่สิ่งที่เพ้อฝันจนไกลเกินเอื้อมไปนัก เพราะที่ความเร็วระดับนี้ ยังพบตัวเลขที่ 19 ก.ม./ลิตร ป้วนเปี้ยนให้เห็นกันแล้ว
ในระหว่างการขับขี่เราได้ลองใช้อัตราเร่งของรถดูบ้างในการเร่งแซง ซึ่งเครื่องยนต์ 3 สูบของมิราจเอง ก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง ด้วยอัตราเร่งที่สมน้ำสมเนื้อใช้ง่ายเพียงเติมคันเร่งไปเล็กน้อย รถก็จะตอบสนองได้ดี และเป็นข้อดีของมวลรถที่เบากว่าหลายๆรุ่น เมื่อประกอบกับ ฐานล้อที่สั้นมันก็ยังให้ความคล่องตัว โดยเฉพาะในการเปลี่ยนเลน
ระบบช่วงล่างเอง แม้จะเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัททางด้านหน้า และทอร์ชั่นบีมทางด้านหลัง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง ด้วยความนิ่งในการขับขี่ไม่มีการโคลงเคลง ซึ่งนอกจากช่วงล่างแล้ว มิราจ ยังได้หลักอากาศพลศาสตร์เข้ามาช่วยด้วยการออกแบบตัวรถให้มี Air Dam ช่วยไล่อากาศไปทางด้านข้างมากยิ่งขึ้น เพิ่มสมรรถนะการทรงตัว แม้จะดูว่าไม่เกี่ยวกันแต่มันก็ช่วยได้เยอะจริงๆ เช่นเดียวกับระบบพวงมาลัย ที่เป็นแบบแปรผันหนัก-เบาคุมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้เวลาใช้ความเร็วจะมีอาการหนักขึ้นทำให้ควบคุมง่าย ด้วยการคำนวนความเร็วกับหน้าสัมผัสของยาง
อัลบั้มภาพ 31 ภาพ