Sanook! Drive : Honda City CNG มีดีที่ประหยัดอย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง
ทุกวันนี้ใครที่กำลังจะซื้อรถสักคันคงจะหวั่นวิตกใช่น้อยว่ารถยนต์ที่เลือกนั้น นอกจากจะมีราคาค่าตัวเท่าไรแล้ว ราคาน้ำมันที่ขึ้นให้ชอกช้ำใจแบบวันเว้นวันก็เป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนหวั่นๆว่า จะทำอย่างไรดี และหลายคนก็ดิ้นรนที่จะไปหาพลังงานทางเลือกอย่างแก๊ส จนค่ายรถยนต์หลายเจ้าต้องตอบโจทย์ด้วยการติดแก๊สมาให้ใช้จากโรงงาน
รถติดแก๊สกำลังกลายเป็นอีกเทรนด์ใหม่มาแรงของค่ายรถยนต์เจ้าตลาดในการหาทางเลือก ในการตอบโจทย์ให้กับลูกค้า และล่าสุดค่ายรถยนต์ Honda ก็ทำเอาสาวกกระโดดดีใจ อย่างกับได้ออกรายการ "ฝันที่เป็นจริง" เมื่อจับรถซิตี้คาร์ยอดฮิตมาผูกกับแก๊ส CNG แถมตั้งราคาไม่สูงเกินตัวด้วยเฉลี่ยบวกจากรุ่นทั่วไปราวๆ 60,000 บาทโดยประมาณ ที่สำคัญซื้อรุ่นนี้ยังรับรถรุ่นเร็วกว่าปกติด้วย จากที่แอบไปเจาะใจโชว์รูมต่างๆมา..
เมื่อพูดถึงภายนอก Honda City CNG แทบจะไม่มีใครสามารถบอกได้เลยว่ารถคันนี้เป็นเวอร์ชั่นติดแก๊สเสร็จสรรพจากโรงงาน เรียกได้ว่าขับผ่านๆ เนียนอย่างกับรถรุ่นทั่วไป ถ้าไม่นับการแปะโลโก้ CNG ที่บั้นท้าย นอกนั้นล้วนไม่ต่างจะมีก้เพียงล้อขอบ 15 จากโรงงานเหมือนกับที่ใช้ในรุ่น S และ V ที่ ฮอนด้าจับมันมาพัฒนาต่อยอด
เปิดประตูเข้าสู่ห้องโดยสาร ความคุ้นเคยทั้งหลายจาก Honda city รุ่นธรรมดา ก็ยังตามมาไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมเลยก็ว่าได้ ด้วยนั่นคือจุดประสงค์ของ Honda ที่ต้องการให้รถสามารถที่จะตอบสนองในเรื่องการใช้งาน และเนื่องจาก แล้วด้วยการนำรถรุ่น S และ V มาปรับโฉมติดแก๊ส ทำให้สีภายในทั้งสองรุ่นเป็นสีเบจ ช่วยให้ดูอบอุ่นและเหมาะมากยิ่งขึ้นในการเป็นรถนั่ง แต่ถึงแบบนั้นก็ต้องเสียเรื่องเบาะพับได้ และพื้นที่หลังฝากระโปรงท้ายบางส่วนออกไป แต่ก็ยังมีพื้นที่มากพอจะโยนกระเป๋าใบใหญ่ๆได้ พอสมควร
ได้เวลาขับขี่ความเปลี่ยนแปลงที่แปลกไป
เมื่อพูดถึงรถยนต์ที่มีการปรับนิดแต่งหน่อยแล้ว หลายครั้งที่เราอาจจะไม่มีความรู้สึกว่าสมรรถนะรถคันนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก เนื่องด้วยการปรับโฉม ล้วนเป็นการพัฒนาในเรื่องของหน้าตามากกว่าสมรรถนะ แต่แล้วทุกสิ่งนั้นก็เปลี่ยนไปทันทีที่ได้จับรถ Honda city CNG
การไปทดสอบครั้งนี้เป็นการทดสอบแบบกลุ่ม โดยแต่ละคันเดินทางไปด้วยกัน 4 คน ถือว่าเต็มพิกัดของรถยนต์ Honda city CNG แม้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าจะเกิดขึ้นทุกวัน แต่มีความเป็นไปสูงในแง่การใช้งาน ด้วยคนไทยรักเพื่อน บางทีไม่ใช่อัดแค่ 4 แต่มากกว่านั้นก็มีถมไป
เรารับไม้การขับขี่เป็นมือสุดท้าย ก่อนมาสิ้นสุดที่ ศูนย์ฝึกอบรมฮอนด้า ย่านมีนบุรี ซึ่งเส้นทางโดยรวมตรงนี้ถือว่าเหมาะเจาะมาก เพราะ เป็นเส้นทางแบบถนนทางหลวงผสมทางในเมืองเล็กน้อย ทำให้สามารถลิ้มรสสมรรถนะได้ทั้ง 2 แบบ
บิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ฟีลลิ่งทุกอย่างเหมือนเดิมไม่แตกต่าง จะมีแต่เพิ่มด้วยซ้ำกับมาตรวัดแก๊ส ที่ติดไว้ทางด้านล่างขวามือฝั่งคนขับ โดยสัญลักษณ์ แบ่งออกเป็นจุดๆ สีเขียว แทนจำนวนปริมาตรแก๊สในถังที่เหลือ และหากวิ่งด้วยน้ำมัน จะแสดงเป็นสีแดงเพียงจุดเดียวเท่านั้น
มาตรวัดที่ดูเบบี้ไปหน่อย แถมตำแหน่งก็แอบมดชิดเกินไป ทั้งที่จริง ควรจะวางไว้ในตำแหน่งที่สามารถเห็นได้ง่าย ทำให้เราอดนึกไม่ได้ว่าความจริง จะมีสักกี่คนเหลือมามองตรงนี้ แต่ก็ดีที่มันดูไม่รกหูรกตาแถมแอบเหมาเอาโม้กับเพื่อนๆได้ว่า นี่ไม่ใช่รุ่นติดแก๊ส
จุดสีเขียวปรากฏทันที ที่เราเลี้ยวออกจากจุดนัดพบสุดท้าย การเริ่มต้นขับขี่ด้วยก๊าซก็เริ่มต้น ซึ่งกว่าจะทำงานได้ก็มีเงื่อนไขต่างๆมากมาย และเมื่อระบบพร้อมก็จะสับเข้าสู่ระบบพลังงานทางเลือกอัตโนมัติ และด้วยการพัฒนาความสามารถให้มันติดแก๊ส ทำให้เรื่องพละกำลังต้องลดลงไปเล็กน้อย
ตัวเลข 100 แรงม้า ที่ 6,600 รอบต่อนาทีเป็นคำตอบที่พอเหมาะต่อการใช้งาน เช่นเดียวกับแรงบิดสูงสุด 127 นิวตันเมตร ถือว่าน่าจะเพียงพอต่อการใช้งานจริง แต่การปรับสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ด้อยลงไปก็เป็นเพียงเฉพาะเวลาใช้ก๊าซ แต่ถ้าวิ่งด้วยน้ำมันพละกำลัง 120 แรงม้า ก็จะกลับมาให้ได้สัมผัสกันเหมือนเคย
เราออกถนนใหญ่พร้อมคน 4 คน แต่แล้วการจราจรย่านชลบุรี ก็กลายเป็นการผจญภับรถติดไปในตัว ด้วยการก่อสร้างทางประกอบกับจำนวนรถที่เยอะผิดคาดในช่วงทดสอบ แต่ก็เป็นเรื่องที่มันจะได้แสดงการใช้งานจริง ยิ่งรถซิตี้คาร์ต้องฝ่าฟันป่าคอนกรีตเป็นประจำ
การขับขี่ในช่วงนี้เรียกว่าไม่มีอะไรต่างออกไปจริงๆ ทั้งความสะดวกสบายในห้องโดยสารเองที่ไม่ได้ลดหย่อนลง แต่ถึงแบบนั้น ปัจจัยทางด้าน น้ำหนักที่มีถังก๊าซขนาด 65 ลิตร พ่วงท้ายมาก็พอรู้สึกได้ความหนักของรถที่บั้นท้าย คล้ายๆกับเราแบกของหนักไปด้วย และพิกัดที่หนักขึ้นจากเดิมอีก 80 ก.ก. ก็บั่นทอนเรื่องความคล่องตัวลงไปบ้างเล็กน้อย อาจจะต้องเดินคันเร่งลึกขึ้นจากเดิม รวมถึงในจังหวะชิงไหวชิงพริบที่อาจจะไม่คล่องตัวเหมือนก่อน
ในที่สุดหลังจากใช้เวลาราวๆ 20 นาทีเห็นจะได้ เราก็หลุดวังวนการจราจรติดขัดแล้วพุ่งทะยานลงโค้งเพื่อเข้าสู่ถนนบางนา-ตราดด้วยความเร็ว 80 ก.ม./ช.ม. พร้อมผู้โดยสาร 4 คน แล้ว Honda City CNG ก็ตอบโจทย์เรื่องความสามารถในการเข้าโค้ง ด้วยการเซทน้ำหนักและช่วงล่างที่ดีขึ้น แต่ถึงแบบนั้น การมีน้ำหนัก 80 ก.ก. ถ่วงที่ด้านหลังก็ไม่สนุกอย่างที่คิด เพราะรถจะไปแบบทื่อๆ แม้การทรงตัวจะดี แต่น้ำหนักที่กดเอาไว้ทางหลังก็อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆในการถือพวงมาลัย แต่ก็ไม่ได้แปลกในเรื่องการบังคับเลี้ยวอาจจะกลับมั่นใจมากกว่าที่คิดเสียด้วยซ้ำ
การเดินทางของเราในที่สุดก็มาถึงในเรื่องของการเดินทางไกลบนทางหลวง โดยตามเส้นทางที่กำหนดโดยฮอนด้า เราจะใช้ทางด่วนบูรพาวิถีก่อนมาลงช่วงถนนกาญจนาภิเษก เพื่อกลับไปยังจุดสตาร์ทของการขับขี่ เรารับบัตรผ่านทางก็ออกตัวไปเรื่อยแบบไม่รีบร้อน ลองทดสอบอัตราเร่งไปด้วยในตัว ซึ่งต้องยอมรับว่ามันอืดกว่าที่เราคาดการณ์กันไว้มาก อาจจะเพราะว่านั่งกัน 4 คนด้วยแต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาในเรื่องของการขับขี่ เพราะเครื่องยนต์ 1.5 สามารถส่งตัวเองไปได้เรื่อย แบบค่อยๆ ไต่ตามลำดับ หรือถ้าจะรีบกดเร่งคิกดาวน์ ก็จะดีขึ้นพอตัวแต่ก็ไม่ได้ว่องไวปานกามนิตย์ อย่างที่รุ่นธรรมดาสามารถทำได้ แอบมองดูเรือนไมล์ ที่ความเร็ว 90 ก.ม./ช.ม. เราใช้รอบเครื่องที่ 1900 รอบต่อนาที แล้วที่ 100 ก.ม./ช.ม. เราใช้รอยเครื่องยนต์ที่ 2100 รอบต่อนาที หรือพูดตามตรงมันไม่ต่างจากที่เคยได้ทดสอบในรุ่นธรรมดา แม้จะมีพิกัดเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมก็ตาม และ เมื่อเริ่มใช้ความเร็วพอสมควรสำหรับการเดินทางที่ 120 ก.ม./ช.ม. Honda City CNG ก็เริ่มโชว์ศักยภาพที่แท้จรงและเมื่อน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นกลายเป็นประโยชน์ในการใช้งาน
ในย่านความเร็วสูง รถไม่รู้สึกโคลงเคลงหรือวาบหวิวเหมือนที่เคยเป็น แต่ถึงการถ่วงมันด้วยถังแก๊สพร้อมพลังงานทางเลือกในถังจะเป็นเรื่องที่ดีในเรื่องการขับขี่ช่วงความเร็วสูง แต่ความรู้สึกในการกุมบังเหียนของรถคันนี้ไม่ง่ายนัก เพราะ น้ำหนักหนักที่ถ่วงไว้ทางด้านหลัง ทำให้รู้สึกทางด้านหน้าไม่สมดุลกันเหมือนอย่างที่เป็น ทำให้การขับขี่รถคันนี้แตกต่างจากที่คิดเอาไว้พอสมควร แต่มันก็ทำให้รถไม่บินเหมือนอย่างที่เคยเป็น ยิ่งกับทางด่วนเส้นนี้มีลมปะทะข้างพอสมควร ถือว่าทำได้ดีจนน่าแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียว
หนทางของเรากับ Honda City CNG ยังขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เราลองทำความเร็วสูงดูเล็กๆจากการนั่ง 4 คนไปแบบไม่เค้นความเร็วสูงสุด จัดได้ 140 ก.ม./ช.ม. ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ก็ต้องใช้ทักษะในการคุมรถให้มากขึ้น แถมบางจังหวะเช่นการเปลี่ยนเลน กลายเป็นรถที่หน้าไวไปโดยปริยาย เนื่องจากน้ำหนักที่กดทับมากทางด้านหลัง แต่ในทริปเดียวกันนี้ผู้สื่อข่าวในรถบางคันสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 180 ก.ม./ช.ม. อ้างอิงจากหน้าปัด แต่ก็พบว่าเมื่อความเร็วสูงมากเพื่อป้องกันเครื่องยนต์ได้รับความเสียหายจะมีการสับไปยังโหมดน้ำมันเอง และจะกลับมาใช้ก๊าซเหมือนเดิม เมื่อความเร็วลดลง
ในที่สุดการเดินทางของเราก็จบลงกับความประทับใจในรถ Honda City CNG ใหม่ ที่มาพร้อมพลังงานทางเลือกใหม่ล่าสุดให้ความแตกต่าง และท้ายที่สุดทีมงาน Honda ก็สรุปตัวเลขประหยัดให้เรา ด้วยการเดินทางในระยะ 150.4 ก.ม. เราใช้ก๊าซไป 9.76 ก.ก เท่านั้น ซึ่งถ้าถามหาความประหยัด จากตัวเลขดังกล่าวเราใช้ก๊าซไป 15.4 กิโลเมตร/ก๊าซ ก.ก.หรือถ้าคำนวนเป็นค่าเดินทางต่อกิโลเมตร ก็จะตกที่ 0.68 บาทเท่านั้น
หากถามว่าคุ้มไหมที่จะซื้อ Honda City CNG คงต้องบอกว่านี่คือรถยนต์ซิตี้คาร์ที่ลงตัวอยู่แล้วที่ได้รับการแต่งแต้มให้พร้อมสรรพในเรื่องความประหยัดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม สนองต่อพลังงานที่กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากแต่การปรับปรุงครั้งนี้คือการดัดแปลงให้สามารถตอบสนองได้ จึงอาจจะต้องยอมรับในเรื่องความรู้สึกในการขับขี่ที่ย่อมไม่เหมือนซิตี้คาร์ทั่วไป
ผลการทดสอบ Honda City CNG
การทำงานของเครื่องยนต์
ที่ความเร็ว 90 เครื่องยนต์ทำงาน ที่ 1900 รอบต่อนาที
ที่ความเร็ว 100 เครื่องยนต์ทำงาน ที่ 2100 รอบต่อนาที
ที่ความเร็ว 120 เครื่องยนต์ทำงาน ที่ 2500 รอบต่อนาที
ที่ความเร็ว 140 เครื่องยนต์ทำงาน ที่ 3000 รอบต่อนาที
ระยะที่ทำการทดสอบ 150.4 กิโลเมตร
ใช้ก๊าซไป 9.762 ก.ก.
เทียบเท่าอัตราประหยัด 15.4 ก.ม./ก.ก.
คิดค่าเดินทางเฉลี่ย 0.68 บาทต่อกิโลเมตร
อัลบั้มภาพ 20 ภาพ