Sanook! Drive : Chevrolet Sonic Hatchback ดูดีมากกว่า ในคราบ 5 ประตู

            หากพูดถึงรถยนต์ซิตี้คาร์ขนาดพิกัดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1.5 ลิตร ในช่วงนี้ไม่ว่าใครก็คงต้องหันเหล่ ยนตรกรรมจากค่ายรถยนต์  Chevrolet  ที่เพิ่งเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่  Chevrolet Sonic  ออกมาอย่างเป็นทางการ และหลังจากมีการแนะนำในรุ่น 4 ประตู ล่าสุดเวอร์ชั่น 5 ประตู ก็ออกมาตามสัญญาของค่ายโบว์ไทน์

                การมาของ Chevrolet sonic Hatchback คือ สิ่งที่เราเฝ้ารอคอหลังจากที่มีโอกาสได้สัมผัสในรุ่น 4 ประตูไปแล้วในฉบับเต็มๆ และครั้งนี้มันก็แลดูจะเป็นเวอร์ชั่นที่สปอร์ตมากกว่ากับเรือนร่างที่แตกต่างจากที่เคยพบมา

                Chevrolet sonic Hatchback ถือเป็นอีกหนึ่งเรือนร่างที่เติมเข้ามาในรถยนต์ซิตี้คาร์ใหม่ ของค่ายโบว์ไทนและเป็นครั้งแรกที่ซิตี้คาร์เจ้านี้มีเวอร์ชั่น 5 ประตูตามออกมา ด้วยใบหน้าที่คล้ายกันกับเวอร์ชั่น 4 ประตู ตั้งแต่กระจังหน้า  ไปจนถึงเส้นสายที่มีความคล้ายกันทำให้ โดยรวมทางด้านรายละเอียดของด้านหน้าอาจจะไม่แตกต่างกันมากมายนัก แต่ใบหน้าแบบนี้ก็ให้ความหล่อเหลาอยู่แล้ว

Chevrolet Sonic Hatchback

                การแนะนำเรือนร่าง 5 ประตู แม้จะมาช้ากว่ารุ่น 4 ประตู แต่ก็ตอบโจทย์ความคมเข้มในความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น โดยเอาเส้นสายเดิมของตัวถังให้โดดเด่นเพิ่มขึ้นกว่าเดิม แม้จากที่ได้ดูรายละเอียทางเทคนิคตัวถังอาจจะมีความยาวน้อยกว่ารุ่น 4 ระตู ราวๆ 300 ม.ม. หรือ ราวๆ 1 ไม้บรรทัด แต่เมื่อเดินเลี้ยวมาด้านข้าง ทรวทรงที่เส้นสายโหนกนูนคมสัน ตั้งแต่แรกเห็น ก็ให้ความโดดเด่นในการออกแบบมากยิ่งขึ้น ส่วนบั้นท้ายก็มาพร้อมประตูที่ 5 ที่โค้งเล็กๆให้ความลงตัวแตกต่างและช่วงลดลมหมุนทางด้านท้าย รวมถึงไฟท้ายที่มาพร้อมโคมแบบพลาสติกดำอาจจะดูแล้วแปลกตาไปบ้าง ทว่ามันก็ตอบคำถามเรื่องความสปอร์ตของตัวรถอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

                ก้าวเข้ามาในห้องโดยสารทุกอย่างลงตัวทางด้านการออกแบบมากกว่าเดิม ด้วยเส้นสายที่เน้นในการตอบโจทย์เช่นเคยคุ้นหน้าตากันดีไม่แตกต่างเลยจากเวอร์ชั่น 4 ประตู ทั้งในแง่ การออกแบบที่ยังลงตัวกับคอนเซปต์  Dual Cockpit ไปจนถึงในส่วนของการจัดวางท่านั่งต่างๆที่ลงตัวเหมาะกับทุกวัยแม้คนไซส์ใหญ่ก็ตาม

เช่นเดิมตรงหน้าคนขับมาพร้อมกับพวงมาลัย 3 ก้าน พร้อมความทันสมัยที่โดดเด่นกับมาตรวัดที่เน้นผสานการออกแบบของความเป็นดิจิตอลผสานเข้ากับรูปแบบของอะนาล็อกทำให้มีตัวตนที่แตกต่าง และรายละเอียดนี้ก็ถูกผนวกเข้ากับชุดอุปกรณ์ต่างๆ มากมาย ไม่เว้นกระทั่งระบบวิทยุ ที่ให้เสียงกระหึ่มพอประมาณ แต่ยังไม่ดีที่สุด อย่างว่าจะเอาอะไรมากมายกับรถขนาดนี้

Chevrolet Sonic Hatchback

ได้เวลาลองขับสมรรถนะที่เปลี่ยนไป...!!

                ตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่ได้มีโอกาสในการทดสอบ  Chevrolet Sonic Sedan เจ้าซิตี้คาร์ร่างสปอร์ตคันนี้ก็สร้างความน่าสนใจในการแนะนำความสปอร์ตเข้าสู่รถซิตี้คาร์และไม่ใช่เพียงแค่ในส่วนของดีเอ็นเอในการออกแบบเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงดีเอ็นเอทางด้านการขับขี่ ที่ให้ความลงตัว ทั้งในการเซทระบบกันสะเทือนการบังคับเลี้ยว แม้อาจจะยังขาดในส่วนของดีกรีความสปอร์ต จากเครื่องยนต์ไปบ้างก็ตาม

                ในครั้งนี้  Chevrolet Sonic Hatchback   แทบไม่มีรายละเอียดใดๆต่างจากครั้งที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร ให้ดีกรีกำลัง 100 แรงม้า หรือรับบช่วงล่างท่าจจะพูดได้ว่าเป็นตัวเดียวกัน แต่ด้วยเรือนร่างตัวถังที่ต่างก็ย่อมทำให้เราใคร่ที่จะรู้สภาพการณ์ในการขับขี่ของเจ้ารุ่น 5 ประตู

                การเริ่มต้นการขับขี่ Chevrolet sonic Hatchback ครั้งนี้เป็นการทดสอบกลุ่มทำให้ข้อมูลบางอย่างอาจจะยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้ แต่เมื่อกระโดขึ้นรถทำหน้าที่ผู้ขับขี่ในช่วงครึ้มฟ้าฝนช่วงพายุ "แกมี" เข้าก็ป็นอะไรที่ทำให้เราได้รู้จักรถคันนี้ดีขึ้น ซึ่งตกทั้งวันมาตั้งแต่เช้าจนแอบแซวกับเพื่อนร่วมก๊วนทริปนี้ว่า นี่มัน Sonic...So Gami นี่หว่า

Chevrolet Sonic Hatchback

                หลังจากพร้อมเราก็ออกรถเดินทางต่อตามเส้นทางโครงข่าวถนนเลียบชายฝั่งทางเพชรบุรี-ชะอำ ซึ่งทั้งหมดตลอดเส้นทางเป็นถนน 2 เลยสวย แล้วเราก็ควบเจ้า  Chevrolet Sonic Hatchback รุ่น LTZ  ที่มาพร้อมเกียร์อัตโนมัตติ 6 สปีด ซึ่งต้องยอมรับเรื่องความล้ำหน้าเพื่อนๆในตลาดที่มีจำหน่ายอยู่

                การขับขี่ช่วงแรกของเรากับสภาพฟ้านไม่เป็นใจใน Chevrolet Sonic Hatchback  ก็เป็นไปด้วยดีกับระบบช่วงล่างที่ออกแบบมาให้มีความสปอร์ตมากยิ่งขึ้นอาจจะไม่ได้มากกว่าในรุ่น 4 ประตู แต่ด้วยพิกัด ซึ่งมีความเบากว่าถึง เฉลี่ย 10-15 กิโลกรัมก็ทำให้มันย่อมจะต้องแตกต่างกันอย่างแน่นอน

                การขับขี่ของเราในถนน 2 เลน ที่อุดมไปด้วยโค้งลากรูปแบบก็ทำให้เริ่มรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างตัวตนแบบ 4 และ 5 ประตูของรถยนต์  Chevrolet Sonic  ใหม่  ซึ่งในเรื่องความสามารถในการตอบสนองของระบบกันสะเทือนอาจจะใกล้เคียงด้วยน้ำหนักที่ต่างกันไม่มากนัก แต่เมื่อทำการบังคับเลี้ยวมันก็เริ่มแสดงความแตกต่างออกมา

                เรือนร่างที่ยาวน้อยกว่า 1 ไม้บรรทัดเต็มๆก็เริ่มแสดงศักยภาพในการควบคุมที่ลงตัวมากยิ่งขึ้นในการขับขี่ และการตอบสนองของพวงมาลัยก็ทำได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในยามที่เข้าโค้งความรู้สึการบังคับเลี้ยวของรถทำได้ดีมากยิ่งขึ้น ด้วยปัจจัยข้อหนึ่งมาจากการออกแบบท้ายให้สั้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งทำให้ Chevrolet Sonic Hatchback คล่องตัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม จนสามารถรู้สึกได้ เพราะทันทีที่หักพวงมาลัยเข้าโค้ง ท้ายรถก็จะตอบสนองไวทำให้มันใจมาก ยิ่งใครที่ชอบการขับขี่ในสไตล์สปอร์ตแท็คโค้งในความเร็วเป็นประจำก็อาจจะหลงรักเลยก็ได้

                ในการขับขี่ช่วงถนนน 2 เลน เครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร ก็สามารถแสดงศักยภาพในการขับขี่ได้ลงตัว จากกำลัง 100 แรงม้า สูงสุดที่ 6,000 รอบต่อนาที พร้อมให้แรงบิดสูงสุด 130  นิวตันเมตร ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง เมื่อพ่วงมากับระบบเกียร์อัตโนมัตอ 6 สปีดให้การขับขี่ที่ง่ายดาย แม้จะมีบ้างที่เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดจะทำให้ให้เสียจังหวะบ้าง เนื่องจากการตอบสนองที่ล่าช้า อาจจะด้วยจำนวนอัตราทดที่มากทำให้การคิกดาวน์ หลายครั้งพบว่า ต้องลงไปถึงเกียร์ 4 เมื่อวิ่งลอยตัวในความเร็ว จึงจะสามารถปั่นฝีเท้าเร่งแซงไปได้

Chevrolet Sonic Hatchback

                การเร่งแซงที่ช้าอาจจะพาหลายคนหงุดหงิดไปบ้างแต่ Chevrolet Sonic Hatchback ก็มาพร้อมความสามารถในการเลือกปรับเกียร์เองได้ทำให้สามารถบรรเทาปัญหาในข้อนี้ไปได้พอสมควร แต่ไม่วายในการเลือกปรับเกียร์ที่จับเอาปุ่มมาทำเป็นสวิทช์ที่หัวเกียร์ ซึ่งในแง่หนึ่งมันก็อาจะดีในเรื่องของการจัดวางที่ไม่รกเลอะเทอะ แต่เมื่อขับขี่ใช้งานจริงแล้ว กลับพบ มันไม่ง่าย ด้วยความพะวง ว่ามือขวาจับพวงมาลัย มือซ้ายจับหัวเกียร์ ที่ปลายนิ้ว ต้องยิกๆ กับปุ่มสวิทช์เปลี่ยนอัตราทดเกียร์ ก็คงไม่ง่ายนักในการใช้งาน แต่ถ้าใช้แค่ประเดี๋ยวก็ไม่เท่าไร แต่หากต้องการขับขี่แบบสปอร์ตเต็มพิกัด มันไม่เหมาะแน่ๆ เมื่อเทียบกับการวางการใช้งานแบบสับเดินหน้าถอยหลังที่น่าจะคุ้นเคยมากกว่า

                การใช้งานที่ค่อนข้างยากเมื่อใช้งานจริง ทำให้มันกลายเป็นข้อด้อยไปโดยปริยายใน Chevrolet Sonic Hatchback แต่ถึงแบบนั้น เมื่อเริ่มคุ้นบ้าง การเรียกสมรรถนะเครื่องยนต์ 1.4 ออกมาก็ไม่ใช่เรื่องยากและสามารถเร่งได้อย่างต่อเนื่อง แต่จะดีก็ตอนช่วงรอบกลางๆ ช่วง 3000- 4000 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังจะถึงแรงบิดสูงสุดของเครื่องยนต์