อย่ามองข้าม“น้ำมันเบรก”!
นํ้ามันเบรกทำหน้าที่หล่อเลี้ยงระบบเบรก เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลัง เมื่อเราเหยียบเบรก แรงดันที่เหยียบจะถูกถ่ายทอดผ่านน้ำมันเบรกเข้าไปในระบบห้ามล้อทั้ง 4 ล้อ ทำให้ความเร็วของรถช้าลง หรือหยุดตามแรงกดที่ต้องการ น้ำมันเบรกที่ดี นอกจากจะเป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลังแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติที่ดีอื่นๆ อีกด้วย “มติชน” ยานยนต์ ขอนำเสนอคุณสมบัติที่ดีของน้ำมันเบรก ดังนี้
1.เป็นตัวหล่อลื่นส่วนต่างๆ ในระบบเบรก ช่วยป้องกันการสึกหรอ
2.ไม่เป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนโลหะในระบบหรือลูกยางต่างๆ
3.คงสภาพได้นาน แม้ว่าจะมีผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ เช่น ความชื้น
4.มีจุดเดือดสูงและไม่ระเหยง่าย ทนต่อแรงดันจากแรงเหยียบอย่างต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี
จากคุณสมบัติของน้ำมันเบรกดังกล่าว จุดเดือดของน้ำมันเบรกถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เนื่องจากเวลาเหยียบเบรกที่ความเร็วสูงหรือบรรทุกหนัก อุณหภูมิที่ผ้าเบรกและจานเบรกจะสูงมาก ความร้อนดังกล่าวจะถ่ายเทมายังน้ำมันเบรกด้วย ถ้าน้ำมันเบรกมีจุดเดือดต่ำก็จะระเหยและกลายเป็นไอ ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลังในระบบเบรกได้ จึงทำให้เบรกไม่อยู่ หรือที่เรียกว่าเบรกแตกหรือเบรกลื่นนั่นเอง
ดังนั้น ผู้ขับขี่จึงควรเช็กระดับของน้ำมันเบรกอยู่เป็นประจำว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่ หากน้ำมันเบรกมากเกินขีดสูงสุด อาจสันนิษฐานได้ว่ามีน้ำเข้าไปปนเปื้อน แต่ถ้าน้อยเกินขีดต่ำสุด อาจสันนิษฐานได้ว่ามีการรั่วซึมในระบบเบรก หรืออาจเกิดจากผ้าเบรกสึก ทั้ง 2 กรณี จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลง ทำให้เกิดอาการเบรกไม่อยู่ได้
นอกจากตรวจระดับน้ำมันเบรกเป็นประจำแล้ว ยังควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกทุกๆ 1-2 ปี แม้ว่าจะไม่มีการรั่วหรือลดระดับลงก็ตาม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าหากเกิดเหตุกะทันหัน เบรกจะยังตอบสนองได้เป็นอย่างดี
ไม่ควรนำน้ำมันเบรกต่างยี่ห้อ หรือต่างมาตรฐานกันมาใช้งานผสมกัน เพราะอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี เป็นสาเหตุให้คุณสมบัติของน้ำมันเบรกเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น หากต้องการเปลี่ยนยี่ห้อ หรือใช้น้ำมันเบรกที่มาตรฐานสูงขึ้น แนะนำให้ล้างระบบเบรกก่อนเปลี่ยนถ่ายเสมอ
ที่มาคอลัมน์ คาร์ทิปส์ มติชนรายวัน เผยแพร่เมื่อ 30 ม.ค. 59