ขับ 90 ช่วยชาติ จริงหรือหลอกเรื่องประหยัดน้ำมัน

ขับ 90 ช่วยชาติ จริงหรือหลอกเรื่องประหยัดน้ำมัน

ขับ 90 ช่วยชาติ จริงหรือหลอกเรื่องประหยัดน้ำมัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง              

ตั้งแต่ราคาน้ำมันแพงขึ้นตามลำดับ เรามักจะได้ยินประโยคที่บอกว่า ขับขี่ปลอดภัย 90 ก.ม./ช.ม.  ช่วยชาติประหยัดน้ำมัน จนตอนนี้ กลายเป็นเสียงเพรียกหาที่ท่องกันจำขึ้นใจ ว่า การขับแบบนี้ จะช่วยให้ประหยัดน้ำมัน แน่นอน ทั้งที่เราไม่เคยตั้งคำถามว่า ทำไม เราถึงต้องขับ  90 ก.ม./ช.ม. ทั้งๆที่ไปเร็วกว่านั้น อาจจะใช้น้ำมันคุ้มกว่า ...หรือเปล่า

                เทคโนโลยีที่ดีขึ้น นำมาสู่การตั้งคำถามในแง่หนึ่งที่หลายคนคงใครอยากจะรู้แต่ก็ไม่ถามว่า สรุปขับ  90 ก.ม./ช.ม. นั้นช่วยประหยัดได้จริงหรือไม่ ทั้งๆที่ ก่อนหน้านี้ ประโยคที่เราได้ยินนี้ก็นานนมมากแล้ว แถมรถยนต์หลายรุ่นยังมีการพัฒนาให้ก้าวล้ำมากขึ้นเรื่องความประหยัด หลายค่ายสามารถใช้พลังงานทางเลือก E85  ได้ หลายค่ายผลิตรถอีโค่คาร์รักษ์โลกประหยัดพลังงานออกมาตอบตลาดในเรื่องความประหยัดกับตัวเลข ชิวๆ  20  ก.ม./ลิตร

รูปจากการทดสอบขับประหยัด

                เลข  90 ก.ม./ช.ม. ประหยัด ช่วยชาติ น่าจะเป็น ข้อความที่ทำให้เราตระหนักว่า การขับรถเร็วเกินไปนอกจากจะเป็นอันตรายและ ยังทำให้คุณสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ ซึ่งแม้จะไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้คิดริเริ่มในการนำ ตัวเลขดังกล่าวมาโชว์ในการสร้างความตระหนัก แต่ก็น่าจะเชื่อว่า วลีที่เราคุ้นเคย น่าจะมีการพูดถึงอย่างกว้างขวางเมื่อช่วงปี พ.ศ.  2551  เมื่อสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในบ้านเรานำมากล่าวอ้าง

                โดยในช่วงนั้นมีการอ้างอิงงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ ของนักวิจัยจากอเมริกาไบรอัน เอช เวสต์ จากศูนย์วิจัยแห่งชาติ โอ๊ค ริช ในเทนเนสซี่  ที่ได้มีการทำวิจัย ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วและการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และพบว่า การใช้ความเร็วสูงอาจจะทำให้ถึงทีหมายไวขึ้นและใช้เวลาที่ทำให้เครื่องยนต์น้อยลง แต่เครื่องยนต์ก็ต้องใช้น้ำมันมากขึ้นในการทำความเร็วด้วย

                ในการศึกษาครั้งดังกล่าว ทางนักวิจัยคนดังกล่าวได้กล่าวถึงความเร็วที่เหมาะสม โดยระบุว่า รถแต่ละคันจะมีความเร็วที่เหมาะสม(optimum)ต่างกัน แต่ในการทดสอบของเขา ไม่ได้มีการเปิดเผยว่าใช้รถรุ่นอะไรหรือยี่ห้ออะไร หรือมีรถรุ่นอะไรบ้างในการทดสอบ แต่มีการชี้ชัดว่า หากเพิ่มความเร็ว จาก  88 ก.ม./ช.ม. (55 ไมล์/ชม.) เป็น 104  ก.ม./ช.ม. (65 ไมล์/ชม.) จะทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นจากเดิม  15 % 

                ข้อมูลดังกล่าวถูกนำไปโยงกับข้อมูลสถิติอุบัติเหตุในช่วงนั้นที่ออกมาเปิดเผยจำนวนอุบัติเหตุที่เกิดจากการขับรถเร็ว  ว่า มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุกว่า 13,000 ราย และส่งผลให้มีความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ถึง 232,855 ล้านบาทต่อปี ทำให้การขับ  90 กลายเป็นเรื่องที่ตระหนักมากขึ้น ทั้งที่ไม่มีการพูดถึงข้อเท็จจริงอย่างชัดแจ้ง ว่าอะไรคือสิ่งที่สามารถยืนยันได้ว่า การขับ  90  จะดีกว่า การขับที่ความเร็วสูงกว่า นอกจากความปลอดภัยและอุบัติเหตุ

                เมื่อเร็วนี้ นักวิจัยคนเดียวกัน นาย ไบรอัน เอช เวสต์ ได้ออกมาเปิดเผยอีกครั้ง โดยเรียกร้องให้ รัฐบาลพิจารณาในการปรับขึ้นความเร็วสูงสุดตามกฏหมายในสหรัฐ โดยระบุว่า ตามที่บางรัฐได้มีการบังคับใช้ความเร็วสูงสุดใหม่ 85 ไมล์ต่อชั่วโมง (136 ก.ม./ช.ม.)  อาจจะทำให้มีการสิ้นเปลืองมากขึ้น  โดยได้นำการวิจัยล่าสุดของเขากลับมาพูดอีกครั้งว่า 

                "หากเราขับรถด้วยความเร็ว  50 -60  ไมล์ ต่อชั่วโมง (80-96 ก.ม./ช.ม.) เราจะพบว่ามีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ราวๆ 12% และ จะเพิ่มขึ้นเป็น 14 %  เมื่อใช้ความเร็วสูงขึ้นเป็น 60-70 ไมล์ต่อชั่วโมง ( 96-112  ก.ม./ช.ม.)  และจะเพิ่มขึ้นเป็น 16%  เมื่อใช้ความเร็วถึง  80 ไมล์ต่อชั่วโมง (128 ก.ม./ช.ม.)"

                นอกจากนี้นักวิจัยคนดังกล่าวยังกล่าวถึงระบบเครื่องยนต์ใหม่อย่าง ระบบไฮบริดว่า เครื่องยนต์ไฮบริดนั้นเหมาะที่จะใช้ในเมืองมากกว่า โดยมันออกแบบมาสำหรับการหยุดแล้ววิ่ง เป็นสำคัญ แต่ถ้าคุณนำมันขับบนทางหลวงยาวๆ ก็มีความประหยัดไม่ต่างกันกันนัก เนื่องจากระบบมอเตอร์ไฟฟ้าไม่ได้มีกำลังที่ช่วยเหลือและสู้กำลังที่ได้จากเครื่องยนต์ไม่ได้

                ในการวิจัยล่าสุด ได้เผยถึงการศึกษาความสัมพันธ์ทางด้านความเร็วกับความประหยัดน้ำมันอีกครั้ง โดยไบรอัน ได้นำรถยนต์กว่า  74  รุ่นตลาดที่มีทั้งเครื่องยนต์ขนาดเล็กไปจนถึงเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ในกลุ่ม  V8  มีทั้งรถเก๋ง กระบะ และรถอเนกประสงค์ มาศึกษาอีกครั้ง

                โดยการวิจัยครั้งนี้ได้เปรียบเทียบ ช่วงความเร็วต่างๆที่เดินทาง ตั้งแต่ 80-96 ก.ม./ช.ม., 96-112  ก.ม./ช.ม. และ 112  ก.ม./ช.ม.- 128 ก.ม./ช.ม. โดยในการวิจัยดังกล่าวยังมีผลลัพธ์ เช่นเดิม คือเมื่อความเร็วสูงขึ้นการกินน้ำมันจะสูงตาม แต่เขายอมรับว่า ว่า ด้วยเทคโนโลยีที่ดีขึ้นในสมัยนี้ ทำให้การทำความเร็ว ช่วง 96-112  ก.ม./ช.ม. มีการประหยัดมากขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เมื่อเทียบจากช่วง 80-96 ก.ม./ช.ม.

                เมื่อมองตามข้อมูลจะพบว่า ถ้ามองตามข้อมูลแล้ว สิ่งที่พบได้อย่างชัดเจนคงไม่พ้นว่า เมื่อขับเร็ว คุณก็ต้องยิ่งจ่ายมากขึ้นในการใช้ความเร็ว และนักวิจัยเองก็ระบุว่า รถยนต์แต่ละรุ่นมีช่วงความเร็วที่เหมาะสมไม่เหมือนกัน ซึ่งหมายความว่า การที่คุณยึดติดกับ ขับ  90 ก.ม./ช.ม. แล้วประหยัดน้ำมัน ไม่ใช่จะประหยัดกับรถทุกรุ่นเสมอไป

                แม้การขับขี่ที่ตัวเลข  90  ก.ม. /ช.ม.  จะไม่ใช่ตัวเลขความเร็วที่จะทำให้ประหยัดจริงๆอย่างที่เราเข้าใจ แต่ข้อเท็จจริงหนึ่งคือว่า ยิ่งคุณขับรถเร็ว รถก็ยิ่งจะใช้น้ำมันในการเดินทางเพิ่มขึ้น ดังนั้นทางที่ดีเลิกยึดติดกับขับ 90 แล้วจงดูช่วงความเร็วที่เหมาะสมในการขับขี่ว่า รถคุณขับเท่าไรจะความประหยัดมากที่สุด หรือบางทีรถที่คุณใช้อยู่อาจจะประหยัด เมื่อขับที่ ความเร็ว  90 ก.ม./ช.ม. ก็ได้


แหล่งข้อมูลอ้างอิง  Green car Congress , NBC News

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook