รีวิว Honda BR-V รถอเนกประสงค์ยกสูงครบเครื่อง ราคาคุ้มค่า
Honda BR-V เป็นรถครอสโอเวอร์อีกหนึ่งรุ่นที่หลายคนเฝ้ารอ นับตั้งแต่เปิดตัวในประเทศอินโดนีเซียเมื่อช่วงกลางปี 2015 ที่ผ่านมา และหลังจากที่ฮอนด้าได้ทำการเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการพร้อมประกาศราคา เราก็เริ่มเห็น บีอาร์-วี ออกวิ่งบนท้องถนนก่อนที่สื่อมวลชนจะมีโอกาสได้ทดสอบกันจริงๆจังๆเสียอีก แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นของรถกลุ่มครอสโอเวอร์นี้ได้เป็นอย่างดี
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด จึงพาสื่อมวลชนรวมถึงทีมงาน Sanook! Auto เข้าร่วมทดสอบสมรรถนะ ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ ไกลถึง จ .เชียงใหม่กันเลย
Honda BR-V ถูกวางตำแหน่งให้อยู่ต่ำกว่า HR-V ที่วางจำหน่ายในปัจจุบัน ซึ่งรายนั้นเน้นความเป็นพรีเมี่ยมครอสโอเวอร์ ในระดับราคา 9 แสนกว่า ไปจนถึงเกือบ 1.1 ล้านบาท จึงเป็นช่องว่างให้ผู้ที่มองหาครอสโอเวอร์ระดับเริ่มต้น ด้วยราคาระหว่าง 7.5 แสน ไปจนถึง 8.2 แสนบาท สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงยังมีรุ่น 7 ที่นั่งให้เลือกด้วย ถือเป็นจุดต่างสำคัญระหว่าง BR-V และ HR-V
ฮอนด้า บีอาร์-วี ให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ V CVT ซึ่งเป็นรุ่น 5 ที่นั่ง และ SV เป็นรุ่น 7 ที่นั่ง ทั้งหมดเป็นรุ่นเกียร์อัตโนมัติ CVT ไม่มีเกียร์ธรรมดาให้เลือก ซึ่งทั้งคู่นอกจากจะแตกต่างในเรื่องเบาะนั่งภายในห้องโดยสารแล้ว ยังมีอุปกรณ์มาตรฐานเล็กๆ น้อยๆ ที่ต่างกันออกไปเช่นกัน
ซึ่งอ็อพชั่นที่มีเพิ่มขึ้นในรุ่น SV CVT (7 ที่นั่ง) มีดังนี้
- เบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง
- ไฟหน้าโปคเจคเตอร์ พร้อมไฟหรี่ LED
- ไฟตัดหมอกคู่หน้า
- พวงมาลัยหุ้มหนัง
- เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังแท้และวัสดุหนังสังเคราะห์
- เบาะนั่งแถวที่ 2 ปรับเลื่อนหน้า-หลังได้
- ระบบปรับอากาศด้านหลัง
- กระจกมองข้างพับไฟฟ้า
- ช่องเก็บของหลังเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าและคนขับ (รุ่น V CVT มีเฉพาะฝั่งคนนั่ง)
- เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 6 นิ้ว
- ช่องเชื่อมต่อ HDMI
- กล้องส่องภาพด้านหลัง
- ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ
ด้วยอ็อพชั่นที่แตกต่างกันอย่างที่กล่าวมา พร้อมกับราคาที่ต่างกัน 70,000 บาทพอดิบพอดี ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของคุณผู้อ่านแหละครับ ว่ารุ่นไหนเหมาะสมกับการใช้งานของตัวเองมากกว่ากัน
รูปลักษณ์ภายนอกของ Honda BR-V ใหม่ ถือว่าออกแบบได้อย่างสวยงามลงตัวเลยทีเดียว ด้านหน้าให้ความรู้สึกแข็งแรง บึกบึน โดยในรุ่น SV CVT 7 ที่นั่ง ติดตั้งไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบฮาโลเจน พร้อมไฟหรี่แบบ LED ออกแบบให้ต่อเนื่องกับกระจังหน้าสีเงินขนาดใหญ่ ขณะที่ด้านท้ายติดตั้งไฟท้ายแบบ LED ที่ออกแบบให้เป็นรูปตัว C ขณะที่ไฟเบรกยังคงเป็นแบบหลอดไส้ทั้ง 2 รุ่น
เหนือหลังคาติดตั้งราวหลังคา Roof Rail สไตล์สปอร์ตสีดำ-เงิน ตัวถังวางอยู่บนล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ที่ช่วยให้ภาพรวมของตัวรถดูสปอร์ตมากขึ้น มาพร้อมยางขนาด 195/60 R16
ด้านข้างของรุ่น SV CVT 7 ที่นั่ง ติดตั้งกระจกมองข้างปรับ-พับด้วยไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว มือจับประตูตกแต่งด้วยโครเมี่ยม
ในรุ่น SV CVT ตกแต่งห้องโดยสารภายในด้วยสีดำ เบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง หุ้มด้วยหนังแท้และวัสดุหนังสังเคราะห์ ปรับด้วยมือทั้งหมด เบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถพับแยกแบบ 60:40 พร้อมปรับเลื่อนหน้า-หลังได้ พนักพิงยังปรับเอนได้ 3 ระดับ ช่วยเพิ่มความสบายในการโดยสาร
เบาะนั่งแถวที่ 3 สามารถพับแยกแบบ 50:50 พับไปด้านหน้าได้ 2 จังหวะเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ รวมถึงยังสามารถปรับเอนได้ 2 จังหวะอีกด้วย
ติดตั้งพวงมาลัยแบบหุ้มหนัง สามารถปรับระดับสูง-ต่ำ 2 ทิศทาง ไม่สามารถดึงเข้า-ออกได้ ตกแต่งแผงคอนโซลด้วยวัสดุ Piano Black มาตรวัดตกแต่งด้วยสีขาวพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID พร้อมไฟ ECO บอกสถานะความประหยัดในการขับขี่
กระจกหน้าต่างไฟฟ้าทั้ง 4 บาน สามารถเลื่อนขึ้น-ลงอัตโนมัติได้เฉพาะฝั่งคนขับ แผงบังแดดเหนือศีรษะมาพร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิดทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยสาร ที่วางแก้วน้ำมีให้สะใจถึง 11 ตำแหน่ง รวมถึงไฟภายในห้องโดยสาร 2 ตำแหน่ง และมือจับทั้ง 4 ตำแหน่ง
บริเวณฝั่งขวาของแผงคอนโซลติดตั้งปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์สีแดง ทำงานคู่กับกุญแจแบบ Smart Key รวมถึงปุ่มปิดการทำงานของระบบควบคุมการทรงตัว VSA มาให้
บริเวณคอนโซลกลางติดตั้งเครื่องเสียงขนาด 2 Din เป็นแบบหน้าจอสัมผัสขนาด 6.1 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Bluetooth พร้อมช่องต่อ USB/AUX และ HDMI ซึ่งติดตั้งไว้บนฟร้อนท์ทั้งหมด แต่เครื่องเสียงชุดนี้ไม่สามารถเล่นแผ่นซีดีได้ (ซึ่งปัจจุบันความนิยมของซีดีก็ลดลงไปพอสมควรแล้วเหมือนกัน) รวมถึงติดตั้งปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบริเวณพวงมาลัย ขับกำลังเสียงผ่านลำโพงรอบคัน 4 ตำแหน่ง
ขยับลงมาเป็นระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ สามารถปรับอุณหภูมิขึ้น-ลงได้ครั้งละ 1 องศาเซลเซียส ขณะที่ปุ่มปรับการไหลเวียนอากาศภายในรถยังคงเป็นแบบแมนนวล ซึ่งก็ดูแปลกตาไปอีกแบบ ขณะที่ช่องจ่ายไฟ 12 โวลต์ถูกติดตั้งไว้ใต้คอนโซลกลางลึกเข้าไปบริเวณช่องวางแก้ว
ขุมพลังของ Honda BR-V ใหม่ ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน SOHC 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 113 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT รองรับพลังงานทางเลือกสูงสุด E85
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทอิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม H-shape พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า EPS ระบบเบรกด้านหน้าแบบดิสก์พร้อมช่องระบายความร้อน ด้านหลังแบบดรัมเบรก รวมถึงมีความสูงตัวถังจากพื้นถนน 201 มิลลิเมตร ซึ่งก็พอให้พ้นอุปสรรคบนทางขรุขระได้
ส่วนระบบความปลอดภัยก็ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานของรถปี 2016 ซึ่งประกอบไปด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบเบรก ABS/EBD, ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA, เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดทั้ง 7 ตำแหน่ง คู่หน้าเป็นแบบดึงกลับอัตโนมัติ, กล้องส่องภาพด้านหลัง ฯลฯ
การทดสอบครั้งนี้ เราได้รับกุญแจของรุ่น V CVT ซึ่งเป็นรุ่น 5 ที่นั่ง แต่อย่างไรก็ดี ทั้งสองรุ่นจะต่างกันก็เรื่องของอ็อพชั่นภายในเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แต่ฟีลลิ่งและสมรรถนะในการขับขี่ถือว่าไม่แตกต่างกันเลย
เราเริ่มต้นออกเดินทางจากโรงแรมเลอเมอริเดียน ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งบีอาร์วีก็สามารถลัดเลาะไปตามการจราจรได้อย่างคล่องแคล่ว ด้วยตัวถังที่ยาวประมาณ 4.4 เมตร ช่วยให้การขับขี่ในเมืองคล่องตัว กะระยะได้ง่าย พวงมาลัยค่อนข้างเบา จับได้อย่างกระชับมือ
ขณะที่สมรรถนะจากเครื่องยนต์นั้น สำหรับการขับขี่ในเมืองถือว่าหายห่วง ให้อัตราเร่งที่ดี เหมาะสมกับการใช้งานแล้ว ขณะที่เกียร์อัตโนมัติ CVT ก็จะช่วยเรื่องของความลื่นไหลในการเปลี่ยนเกียร์ และจังหวะการขับขี่ที่ไม่มีสะดุด
เมื่อลัดเลาะออกมาถึงช่วงนอกเมืองที่พอทำความเร็วได้นั้น อัตราเร่งของบีอาร์-วีจากจุดหยุดนิ่ง ถือว่ามาแบบเรื่อยๆ หากรีบร้อนก็จะดูไม่ทันใจไปเสียหน่อย แต่ก็ยังได้ความลื่นไหลของเกียร์ CVT เป็นตัวเสริมให้ไม่สูญเสียกำลังในการเปลี่ยนเกียร์ แถมยังได้ความนุ่มนวล ไม่มีจังหวะเปลี่ยนเกียร์ให้กระโชกโฮกฮากแต่อย่างใด
ช่วงล่างของ BR-V ในระดับความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดตามกฎหมายกำหนดนั้น เรียกว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว ตัวรถให้ความแน่นหนึบ รวมถึงความนุ่มนวลเมื่อขับผ่านทางขรุขระ ถือว่าเป็นรถที่นั่งสบาย และให้ความไว้ใจได้ดี แต่หากใช้ความเร็วเกินกว่า 120 กม./ชม.แล้วล่ะก็ จะเริ่มมีอาการโคลงให้เห็นค่อนข้างชัด ตามสภาพลมปะทะและพื้นผิวถนน
เส้นทางที่ใช้ทดสอบครั้งนี้ ยังมีส่วนที่เราต้องเดินทางขึ้นเขาด้วย ซึ่งจังหวะที่ต้องไต่ระดับ อาจจำเป็นต้องเค้นคันเร่งกันเสียหน่อย เพื่อเรียกกำลังให้ได้มากขึ้น ซึ่งการทดสอบในครั้งนี้มีผู้โดยสารในรถทั้งหมด 2 คน หากโหลดกันจริงๆ 5 คน หรือ 7 คนเต็มคัน ก็อาจจะต้องใจเย็นนิดนึง แต่รับรองว่า BR-V สามารถพาขึ้นเขาเที่ยวน้ำตกได้อย่างสบายๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม ขอแค่อย่าใจร้อนเป็นพอ...
ด้านพื้นที่ภายในห้องโดยสารนั้น สำหรับรุ่น V CVT ที่เราขับถือว่ากว้างขวางมากตามสไตล์รถฮอนด้า ภายในให้ความโปร่งโล่ง ทั้งพื้นที่ด้านข้าง พื้นที่เหนือศีรษะ เหมาะสำหรับใช้เป็นรถครอบครัวเดินทางไปไหนต่อไหนทั้งบ้านได้
สำหรับเบาะนั่งแถวที่ 2 ในรุ่น V CVT นั้น ก็สามารถโดยสารได้อย่างสบาย สัมผัสได้ถึงความกว้างขวางในห้องโดยสารเช่นกัน ซึ่งความพิเศษของรุ่น C CVT คือจะมีกล่องเก็บสัมภาระใต้เบาะนั่งมาให้ด้วย ขณะที่พนักพิงสามารถปรับความเอนได้ค่อนข้างมาก ช่วยให้การเดินทางไกลๆ สบายยิ่งขึ้น
ที่จุดที่น่าสังเกตก็คือ เบาะนั่งที่หุ้มด้วยวัสดุผ้าในรุ่น V CVT นี้ ตัวฟองน้ำเองค่อนข้างนิ่ม รวมถึงดีไซน์เบาะยังไม่ซัพพอร์ตสรีระมากนัก ซึ่งอาจส่งผลทำให้เมื่อยล้าเมื่อต้องเดินทางไกลๆได้
ส่วนพื้นที่เบาะนั่งแถวที่ 3 นั้น ในรุ่น SV CVT นั้น เราได้มีโอกาสขึ้นไปทดลองนั่งเช่นกัน ซึ่งก็ยืนยันว่าสามารถนั่งได้จริง เพียงแต่ต้องขยับเบาะนั่งแถวที่ 2 ขึ้นไปด้านหน้าเสียหน่อย ก็จะช่วยให้มีพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารแถว 3 รวมถึงพนักพิงเบาะนั่งที่สามารถปรับได้ 2 ระดับ ก็ช่วยให้แผ่นหลังไม่ตั้งชันจนอึดอัด ซึ่งหากเทียบกับราคาแล้ว ก็นับเป็นรถ 7 ที่นั่งที่รองรับการใช้งานได้จริง และคุ้มค่ามากที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดขณะนี้
สรุป Honda BR-V ถือเป็นรถอเนกประสงค์สไตล์ครอสโอเวอร์ที่โดดเด่นเรื่องความคุ้มค่า และความอเนกประสงค์ ที่แม้จะเป็นรุ่นเล็ก แต่ก็ได้ห้องโดยสารที่กว้างขวาง รองรับการใช้งานได้ทั้งครอบครัว สมรรถนะการขับขี่ในเมืองถือว่าสอบผ่าน แต่สำหรับอัตราเร่งนอกเมืองอาจไม่ทันใจนัก เหมาะสำหรับการขับขี่ที่ไม่รีบร้อน ช่วงล่างในย่านความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ถือว่าทำได้ดีในสไตล์ฮอนด้า ซับแรงสะเทือนได้เยี่ยมควบคู่ไปกับความแน่นหนึบ ไว้ใจได้
หากใครกำลังมองหารถอเนกประสงค์ยกสูง ในระดับราคาระหว่าง 7 แสนกลาง ไปจนถึง 8 แสนต้น ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่น่าพลาดอีกคันครับ
ราคาจำหน่าย Honda BR-V มีดังนี้ :-
- รุ่น V CVT (5 ที่นั่ง) ราคา 750,000 บาท
- รุ่น SV CVT (7 ที่นั่ง) ราคา 820,000 บาท
ขอขอบคุณผู้บริหารและทีมงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติเชิญทีมงานเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้
อัลบั้มภาพ 34 ภาพ