รีวิว 2016 Honda Civic ใหม่ เหนือกว่าทุก ‘ซีวิค’ ที่เคยเป็นมา
ก่อนหน้านี้เราได้ขึ้นบททดสอบ 2016 Honda Civic Turbo RS โฉมใหม่ แบบ First Impression กันไปแล้ว ซึ่งก็เรียกกระแสตอบรับได้อย่างล้นหลาม มาคราวนี้ Sanook! Auto จึงเข้าร่วมทดสอบซีวิคใหม่แบบเต็มๆ ถึง จ.ภูเก็ต เพื่อพิสูจน์ว่านี้คือการพลิกโฉมครั้งใหญ่ที่ทำให้ลืมภาพลักษณ์ของ ซีวิค รุ่นก่อนๆไปเลย
Honda Civic 2016 ใหม่ ถือเป็นเจเนอเรชั่นที่ 10 แล้ว โดยบ้านเราถูกเปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันสามารถกวาดยอดจองไปแล้วถึง 7,500 คัน รวมถึงส่งมอบถึงมือลูกค้าไปแล้วกว่า 3,000 คัน ซึ่งผู้บริหารของทางฮอนด้าระบุว่าเป็นรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเทอร์โบกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่ 15 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่อีก 80 เปอร์เซ็นต์เป็นรุ่น 1.8 ลิตรทั้งหมด
ฮอนด้า ซีวิค โฉมใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ได้แก่
- 1.8 E
- 1.8 EL
- 1.5 TURBO
- 1.5 TURBO RS
ซึ่งความแตกต่างของแต่ละรุ่นสามารถสังเกตง่ายๆได้จากล้ออัลลอยที่หน้าตาไม่เหมือนกันเลยในแต่ละรุ่น
การทดสอบครั้งนี้เราได้มีโอกาสสัมผัสซีวิคใหม่กัน 2 รุ่น ก็คือ 1.8 E ซึ่งเป็นรุ่นล่างสุด และ 1.5 TURBO RS ที่เป็นรุ่นท็อปสุดนั่นเอง ดังนั้นจึงมีความแตกต่างกันพอสมควรในเรื่องของอุปกรณ์มาตรฐานทั้งภายนอก-ภายใน และรายละเอียดขุมพลังต่างๆ
เริ่มต้นกันที่รุ่น 1.8 E กันก่อน ที่เราคิดว่าน่าจะเป็นรุ่นขายดีรุ่นหนึ่ง ด้วยราคาที่ไม่แรงมาก แต่ก็ได้อุปกรณ์มาตรฐานมาแบบครบๆ เพียงพอต่อการใช้งาน
ภายนอกของรุ่น 1.8 E ติดตั้งไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ฮาโลเจน พร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED เป็นรุ่นเดียวที่ไม่มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้ามาให้ แต่จะดับไฟให้อัตโนมัติเมื่อดับเครื่องยนต์ ไฟตัดหมอกคู่หน้าถูกตัดออกไป ไม่มีไฟเลี้ยวบริเวณกระจกมองข้าง แต่จะใช้ไฟเลี้ยวบริเวณซุ้มล้อด้านหน้าแทน ขณะที่มือเปิดประตูเป็นแบบสีเดียวกับตัวรถ
รุ่น 1.8 E ติดตั้งล้ออัลลอยสีเงินแบบ 10 ก้าน พร้อมยาง Hancook Ventus S1 ขนาด 215/55 R16 มาให้ นอกนั้นแล้วจะเหมือนกับรุ่นสูงกว่าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไฟท้ายแบบ LED (แต่ไฟเบรกยังคงเป็นหลอดไส้ทุกรุ่น ซึ่งถ้าเป็นแบบ LED ก็น่าจะดูลงตัวกับชุดไฟท้ายมากกว่านี้) และช่องพลาสติกสีดำพร้อมแผงทับทิมสะท้อนแสงบริเวณกันชน
ขณะที่ห้องโดยสารภายในของรุ่น 1.8 E เป็นเพียงรุ่นเดียวที่ให้เบาะผ้า แต่ก็ถูกตกแต่งด้วยลายคาร์บอนเคฟล่าบริเวณกลางตัวเบาะ ให้ความสปอร์ตขึ้นมานิดนึง ขณะที่สีภายในห้องโดยสารจะขึ้นอยู่กับตัวถังภายนอก (ซึ่งคันที่เราทดสอบใช้ภายในสีเบจ ขณะที่ภายนอกเป็นสีเทาโมเดิร์นสตีล)
ติดตั้งพวงมาลัยแบบยูริเทน 3 ก้าน สามารถปรับระดับได้ 4 ทิศทาง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงไว้ด้านซ้าย วงพวงมาลัยออกแบบให้มีร่องกริปเพื่อความกระชับมือ มองผ่านพวงมาลัยเข้าไปเป็นมาตรวัดความเร็วแบบดิจิตอล 3 ช่อง ซึ่งในรุ่นล่างจะเป็นหน้าจอแบบขาว-ดำ อ่านง่าย ชัดเจน ซึ่งส่วนตัวแล้วผู้เขียนชอบหน้าจอลักษณะนี้มากกว่าหน้าจอสีแบบ TFT ในรุ่นสูงกว่าเสียด้วยซ้ำ
รุ่น 1.8 E ติดตั้งเครื่องเสียงหน้าจอขนาด 5 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth สำหรับการโทรศัพท์ได้ มีช่องเชื่อมต่อ USB ให้ 1 ตำแหน่งบริเวณใต้แผงคอนโซล ขับกำลังเสียงผ่านลำโพง 4 จุด ซึ่งคุณภาพเสียงเท่าที่ฟังดูแล้วก็ถือว่าพอฟังได้ พอมีน้ำมีนวลให้บ้าง แต่ถ้าเน้นคุณภาพเสียงแนะนำให้ไปรุ่นที่สูงกว่าไปเลย
ขณะที่ฟีเจอร์เด่นของ Honda Civic อย่างระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยรีโมท (Engine Remote Start) ซึ่งจะได้กุญแจแบบอัจฉริยะ (Honda Smart Key System) ทำงานคู่กับปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ และระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electronic Parking Brake) พร้อมฟังก์ชั่น Auto Brake Hold ทั้งหมดนี้มีให้ตั้งแต่รุ่นล่างสุด ไปจนถึงรุ่นท็อปสุด พูดง่ายๆ คือมีให้ทุกรุ่นย่อยนั่นเอง
ซึ่งหากใครกลัวว่าระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยรีโมท จะทำให้ตัวรถเสี่ยงต่อการโดนขโมยไปต่อหน้าต่อตาล่ะก็ ไม่ต้องกลัวไปครับ! เพราะเจ้าของรถจะต้องกดปุ่มล็อคประตูเสียก่อน จากนั้นจึงกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์บริเวณรีโมทค้างไว้ประมาณ 3 วินาที จากนั้นเครื่องยนต์จะติดขึ้น และระบบปรับอากาศจะเริ่มทำงานทันที เพื่อลดความร้อนภายในห้องโดยสาร
ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ ประตูจะยังคงถูกล็อกไว้ตลอดเวลา เจ้าของรถจำเป็นต้องกดปุ่มปลดล็อกอีกครั้ง หรือสัมผัสปุ่มบริเวณมือเปิดประตู เพื่อเข้าไปภายในรถ ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนแปลกหน้ากระโดดขึ้นรถขณะที่เครื่องยนต์กำลังติดอยู่แต่อย่างใด
ด้านระบบความปลอดภัยในรุ่น 1.8 E ก็ถือว่าให้มาครบๆ ทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบเบรก ABS/EBD, ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA, ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HAS, ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ ESS รวมถึงเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดทั้ง 5 ที่นั่ง
ข้ามมาที่รุ่น 1.5 TURBO RS อ็อพชั่นเต็มสุด แถมหล่อสุด!
ในรุ่น 1.5 TURBO RS ซึ่งเป็นอีกคันที่เราได้มีโอกาสทดสอบด้วย ซึ่งมีจุดแตกต่างจากรุ่น 1.8 E อยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบ Full-LED ไม่ว่าจะเป็นไฟต่ำ-ไฟสูง ไฟเลี้ยว รวมถึงไฟตัดหมอก ขณะที่กระจกมองข้างติดตั้งไฟเลี้ยวมาให้ในตัว ด้านท้ายติดตั้งปลายต่อไอเสียแบบคู่ ซึ่งจริงๆแล้วรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบ จะให้ปลายท่อไอเสียแบบคู่ทั้งหมด
จุดเด่นอีกอย่างของรุ่น TURBO RS ก็คือชุดแต่งกันชนหน้าและกระจังหน้าสไตล์สปอร์ต สปอยเลอร์หลังแบบ Wing พร้อมไฟเบรกแบบ LED รวมถึงให้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ที่ออกแบบสำหรับรุ่น RS โดยเฉพาะ
ภายในของรุ่น RS ถูกตกแต่งด้วยสีดำ เบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุหนังแท้และหนังสังเคราะห์ ตัวเบาะนั่งฝั่งคนขับสามารถปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ฝั่งคนนั่งปรับไฟฟ้าได้ 4 ทิศทาง ซึ่งเป็นรุ่นเดียวที่มีเซ็นเซอร์สำหรับระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยฝั่งคนนั่งมาให้
พวงมาลัยในรุ่น RS เป็นแบบ 3 ก้าน หน้าตาเหมือนรุ่น 1.8 E แต่หุ้มด้วยวัสดุหนังดูพรีเมี่ยมยิ่งขึ้น ติดตั้งปุ่มควบคุมเครื่องเสียงไว้ทางซ้ายมือ แต่มีปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์และปุ่ม Swipe มาให้ ซึ่งปุ่มที่ว่านี้ใช้สำหรับเพิ่ม-ลดเสียง ด้วยการลากนิ้วขึ้นลงแทนการกดได้ (แต่จะกดก็ได้) ซึ่งปุ่มเหล่านี้ยังใช้ควบคุมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ด้วย
ขณะที่ด้านขวาเป็นปุ่มระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control และแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ถูกติดตั้งไว้หลังพวงมาลัย
มาตรวัดความเร็วของรุ่น RS ใช้หน้าจอแบบ TFT ความละเอียดสูง ตกแต่งด้วยสีแดงเพิ่มความสปอร์ต แสดงมาตรวัดรอบแบบดิจิตอล สามารถเลือกแสดงข้อมูลการขับขี่ได้หลากหลาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออัตราการบูสต์ของระบบเทอร์โบที่คนรักความเร็วน่าจะชื่นชอบกัน
เครื่องเสียงในรุ่น RS เป็นแบบ Advanced Touch หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับการสั่งงานด้วยระบบสัมผัสทั้งหมด โดยรุ่น RS ยังเป็นรุ่นเดียวที่มีระบบนำทาง Navigator มาให้ ขณะที่คนใช้สมาร์ทโฟนระบบ iOS ก็สามารถเรียกใช้ฟังก์ชั่น Apple CarPlay ได้ ขณะที่คนใช้แอนดรอยด์คงต้องรออีกสักระยะกว่าที่ Android Auto จะเริ่มให้ใช้งานในบ้านเราได้อย่างจริงจัง
หากต้องการใช้ฟังก์ชั่น Apple CarPlay จำเป็นต้องใช้สายเสียบเข้ากับตัวโทรศัพท์เท่านั้น ไม่สามารถใช้งานฟังก์ชั่นนี้ขณะต่อบลูทูธปกติได้ ซึ่งเป็นข้อจำกัดเกี่ยวกับความเร็วการส่งข้อมูลระหว่างโทรศัพท์มือถือกับตัวรถอยู่แล้ว ส่วนพอร์ต USB จัดมาให้ 2 ตำแหน่ง และช่อง HDMI อีก 1 ตำแหน่ง ขับกำลังเสียงผ่านลำโพงรอบคันถึง 8 จุดด้วยกัน
ด้านระบบความปลอดภัยในรุ่น RS มีอุปกรณ์เพิ่มเติมจากรุ่น 1.8 E ได้แก่ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตา Honda LaneWatch ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่อยู่ในรุ่นใหญ่อย่าง Accord รวมถึงกล้องมองภาพด้านหลังสามารถปรับมุมมองได้ 3 ระดับ
นอกจากนั้น รุ่น RS ยังเป็นเพียงรุ่นเดียวที่มีถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านถุงลมนิรภัยมาให้ ขณะที่รุ่นต่ำกว่าจะมีเฉพาะถุงลมนิรภัยคู่หน้าเท่านั้น
ขุมพลังของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร VTEC TURBO เป็นแบบ DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ปริมาตรกระบอกสูบจริง 1,498 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700 – 5,500 รอบต่อนาที ซึ่งถือว่ามาในรอบต่ำ และต่อเนื่องแบบ Flat Torque ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ซึ่งสามารถล็อกอัตราทดได้ 7 สปีด เมื่อกดปุ่มที่คันเกียร์ Paddle Shift หรือปรับเป็นโหมด Manual
ขณะที่เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร i-VTEC ถูกยกมาจากรุ่นเดิม ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 174 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลังเปลี่ยนเป็นแบบ CVT ด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น ซีวิค ใหม่ ยังมีจุดเด่นอยู่ที่การเปลี่ยนไปใช้พวงมาลัยไฟฟ้าแบบดูอัลพีเนี่ยน (DP-EPS) ที่ช่วยเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ขึ้นด้วย
ไม่รอช้าเราเริ่มออกเดินทางกันเลยดีกว่า ซึ่งการทดสอบครั้งนี้เราใช้เส้นทางภูเก็ต-พังงา-ภูเก็ต ซึ่งเป็นเส้นทางยาวๆ ที่ช่วยให้เราเค้นสมรรถนะของซีวิคใหม่ได้อย่างเต็มที่
เริ่มแรกเราได้ขับรุ่น 1.8 E ซึ่งเป็นรุ่นล่างสุดกันก่อน เราออกสตาร์ทออกจากโรงแรมเข้าสู่ถนนหลัก โดยในจังหวะที่ผู้เขียนกดคันเร่ง ก็มีประโยค ‘เห้ย! เครื่องยนต์ 1.8 ธรรมดาๆนี่มันก็ไม่เลวเลยนี่หว่า’ ขึ้นมาในหัวผม จากเดิมที่คิดว่าจะมีอาการอืดให้เห็นบ้าง แต่ผิดถนัด! เพราะอัตราเร่งไหลมาเทมาแบบทันใจตั้งแต่ออกตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเปลี่ยนไปใช้เกียร์แบบ CVT ที่เปลี่ยนอัตราทดได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วนั่นเอง
ขณะที่ช่วงล่างในรุ่น 1.8 E ถูกเซ็ทไว้ให้นุ่มนวลขึ้นจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจน นั่งสบายมากขึ้น สามารถดูดซับแรงสะเทือนได้ค่อนข้างดี รวมถึงให้ความมั่นคงในความเร็วสูง แต่หากจังหวะที่เป็นทางโค้งอาจต้องมีผ่อนคันเร่งบ้าง เพราะมีอาการโหวงให้เห็นนิดๆ ซึ่งถ้าใช้ความเร็วไม่เกินที่กฎหมายกำหนดก็ถือว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
แต่สิ่งที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน และถือเป็นจุดที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง ก็คือการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารที่เงียบ สามารถจัดการกับเสียงลมที่ไหลผ่านตัวถังรถได้ดีมากแม้ใช้ความเร็วสูง แต่จะพอให้ได้ยินบ้างก็คงเป็นเสียงจากพื้นถนนที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่โดยรวมถือว่าการเก็บเสียงดีกว่ารุ่นเดิมมาก
เมื่อมาถึงจุดสลับคนขับ ผู้เขียนได้มีโอกาสทดลองไปนั่งเบาะหลัง ซึ่งคิดว่ากลุ่มเป้าหมายของซีวิคก็ยังต้องมีการใช้งานแบบครอบครัว นั่งโดยสารเต็มคันบ้างบางครั้งบางคราว ซึ่งตรงจุดนี้เองซีวิคตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากห้องโดยสารด้านหลังมีความกว้างขวาง สามารถนั่งกัน 3 คนได้อย่างสบาย ถ้าเป็นคนที่มีรูปร่างเล็กนั่งกัน 4 คนก็ยังไหว
ขณะที่พื้นที่เหนือศีรษะก็พอเหลือบ้าง สำหรับสรีระชายที่มีความสูง 173 เซนติเมตรอย่างผู้เขียน ก็สามารถนั่งหลังชิดเบาะได้โดยศีรษะไม่ชนกันหลังคา ซึ่งถือว่าน่าประทับใจสำหรับการออกแบบเสาหลังที่มีความลาดเทประดุจรถสปอร์ตขนาดนี้
แต่จุดสังเกตก็คือฟองน้ำตัวเบาะที่ค่อนข้างนิ่ม หากโดยสารเป็นระยะทางไกลๆ หลายชั่วโมง อาจทำให้มีอาการปวดล้าได้ (แต่เท่าที่นั่งมาก็ยังไม่รู้สึกเมื่อยล้านะครับ) อีกจุดสำคัญก็คือพนักพิงศรีษะสำหรับผู้โดยสารแถวหลังตรงกลางที่ดูเหมือนจะขาดไป ไหนๆก็ออกแบบมาให้กว้างเสียขนาดนี้ ถ้ามีพนักพิงรองรับผู้โดยสารอีกสักตำแหน่งนึงก็น่าจะลงตัวขึ้นไม่น้อย
ช่วงขากลับ จ.ภูเก็ต เราได้สลับไปขับรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตร กันดูบ้าง ซึ่งเราเคยสัมผัสแบบ First Impression ไปแล้วก่อนหน้านี้
อัตราเร่งของเครื่องยนต์เทอร์โบถือว่าไหลมาเทมาอย่างไม่ขาดสาย ด้วยการทำงานประสานกันระหว่างเครื่องยนต์เทอร์โบที่ให้แรงบิดกว่า 220 นิวตัน-เมตร ตั้งแต่รอบต่ำ และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT เผลออึดใจเดียวก็แตะความเร็ว 120 กม./ชม.ได้อย่างทันใจ ส่วนใครกังวลว่าจะมีอาการเทอร์โบแล็กให้เห็นก็ไม่ต้องกลัว เพราะช่วงเร่งออกตัวแทบไม่มีอาการอืดให้เห็นเลย ถือว่าแรงสะใจสมกับความเป็นซีวิคเลยทีเดียว
ด้านช่วงล่างวิศวกรของฮอนด้าระบุว่ามีการเซ็ทช่วงล่างต่างกันระหว่างรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร และ 1.5 ลิตรเทอร์โบ ซึ่งหลักๆจะเป็นการปรับช็อคอัพและสปริงหลัง โดยให้เหตุผลว่าเป็นการรองรับขนาดล้อและยางที่ต่างกันออกไป แต่สำหรับผู้เขียนนั้นรู้สึกว่าช่วงล่างของรุ่น 1.5 TURBO RS ให้ความหนึบหนับมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด สามารถเข้าโค้งที่ความเร็วสูงได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ถ้าใครรู้ตัวว่าชอบขับรถเร็ว อยากให้จัดรุ่น 1.5 ลิตรเทอร์โบไปเลย รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
สรุป 2016 Honda Civic ใหม่ ถูกปรับปรุงขึ้นจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ทั้งงานดีไซน์ภายนอก ภายใน รายละเอียดทางวิศวกรรม จนเรียกได้ว่าเป็นก้าวกระโดดที่สลัดภาพซีวิคเดิมๆทิ้งไปได้เลย รูปลักษณ์ถูกออกแบบให้ล้ำสมัย ห้องโดยสารภายในกว้างจนแทบจะเทียบกับ D-Segment ได้แล้ว
รุ่น 1.8 E เครื่องยนต์ไม่มีเทอร์โบพ่วงกับเกียร์ CVT พอสัมผัสจริงบอกได้ทันทีว่าแค่นี้ก็แรงเหลือเฟือแล้ว อ็อพชั่นให้มาแบบครบๆ มีรีโมทสตาร์ทและเบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Brake Hold ให้ แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับใครที่อยากได้รถครอบครัวนั่งสบายสักคันนึง โดยไม่ต้องควักเงินให้กระเป๋าฉีกในระดับราคาไม่ถึง 9 แสนบาท
รุ่น 1.5 TURBO RS ไม่เพียงแต่แรงสั่งได้ แต่ยังได้หน้าตาที่หล่อเหลา แค่ไฟหน้าแบบ LED ก็เรียกว่ากินขาดแล้ว ขณะที่ภายในห้องโดยสารตกแต่งมาอย่างสปอร์ต แต่ก็ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ ใช้เป็นรถครอบครัวก็ได้ ถ้างบพร้อมก็จัดไปเลย
ราคาจำหน่าย 2016 Honda Civic ใหม่ มีดังนี้
- 1.8 E ราคา 869,000 บาท
- 1.8 EL ราคา 959,000 บาท
- 1.5 TURBO ราคา 1,099,000 บาท
- 1.5 TURBO RS ราคา 1,199,000 บาท
2017 - 2018 Honda Civic Type R คันจริงที่ปารีสมอเตอร์โชว์
ขอขอบคุณผู้บริหารและทีมงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นอย่างสูงที่ให้เกียรติเชิญเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้ รวมถึงคอยอำนวยความสะดวกให้แก่ทีมงานเป็นอย่างดี
อัลบั้มภาพ 83 ภาพ