รีวิว 2016 Chevrolet Cruze 1.8 LTZ ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ปรับลุคหรู ขับสนุกขึ้นอีกนิด
ปัจจุบันแม้ว่าตลาดครอสโอเวอร์กำลังมาแรง แต่รถยนต์ในกลุ่ม C-Segment ก็ยังคงถือเป็นตลาดสำคัญของบ้านเราอยู่ดี ด้วยขนาดตัวที่พอเหมาะ ใช้งานในเมืองก็ดี ขับไปต่างจังหวัดก็ได้ ใช้งานคนเดียวหรือทั้งครอบครัวก็ไม่เคอะเขิน ดังนั้น เชฟโรเลตจึงยังคงทำตลาด ‘Cruze’ อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางคู่แข่งที่ต่างก็ดึงเอาจุดเด่นมาขับเคี่ยวกันอย่างแข็งขัน
Sanook! Auto จึงขอพาคุณผู้อ่านไปรู้จักกับรถ C-Segment ที่แม้จะดูนอกกระแสไปบ้าง แต่ก็ถือว่ามีจุดเด่นไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะอ็อพชั่นและช่วงล่าง
Chevrolet Cruze รุ่นปี 2016 ใหม่ ถือเป็นการบิ๊กไมเนอร์เชนจ์นับตั้งแต่ถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2010 หรือกว่า 6 ปีมาแล้ว ซึ่งระหว่างนั้นก็มีการปรับโฉมย่อยมาเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นโฉมนี้ในที่สุด
Cruze โฉมปัจจุบันทำตลาดทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ 1.8 LT และ 1.8 LTZ ซึ่งใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน มีให้เลือกเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ ต่างกันที่อ็อพชั่นและรายละเอียดการตกแต่งเล็กๆน้อยๆ
คันที่เรานำมาทดสอบในครั้งนี้เป็นรุ่นท็อปสุด ก็คือ Cruze 1.8 LTZ ที่มีราคาค่าตัวอยู่ที่ 998,000 บาท ซึ่งก็ถือว่าถูกกว่ารุ่นท็อปในระดับเดียวกัน ที่ราคาทะลุ 1 ล้านบาทกันไปแล้ว
รูปลักษณ์ภายนอกดูเปลี่ยนแปลงใหม่อย่างชัดเจน ด้วยกระจังหน้าทรง Dual Port ดีไซน์ใหม่ ตกแต่งด้วยโครเมี่ยมเพิ่มความหรูหรา ติดตั้งไฟหน้าทรงเดิมแบบฮาโลเจน มีระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติตามสภาพแสง ติดตั้งไฟ Daytime Running Light แบบ LED ไว้ใกล้กับไฟตัดหมอก ตกแต่งด้วยโครเมี่ยม ขณะที่ตัวกันชนและช่องดักลมถูกออกแบบใหม่ขึ้นทั้งชิ้น
ด้านข้างติดตั้งกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว สามารถปรับ-พับได้ด้วยไฟฟ้า ที่เปิดประตูตกแต่งด้วยโครเมี่ยมเพิ่มความหรูยิ่งขึ้น ไล่มาทางด้านหลังจะพบกับไฟท้ายดีไซน์ใหม่ ออกแบบให้ดูมีอารมณ์คล้ายกับสปอร์ตรุ่นพี่อย่าง Camaro เข้าไปด้วย ขณะที่ตัวโคมไฟด้านในข้างหนึ่งจะเป็นไฟถอยหลัง ส่วนอีกข้างสำหรับไฟตัดหมอก
ตัวกันชนมีการดีไซน์ใหม่ ตกแต่งด้วยแถบโครเมี่ยมยาวตลอดแนว ติดตั้งเซ็นเซอร์ถอยหลังแบบ 4 จุดดีไซน์เรียบเนียนไปกับกันชน กรอบป้ายทะเบียนถูกย้ายมาไว้บริเวณกันชน
Cruze 1.8 LTZ มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว และยางขนาด 215/50 R17 ขณะที่รุ่น 1.8 LT จะมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วแทน
ห้องโดยสารภายในตกแต่งด้วยสีทูโทน ดำ-น้ำตาลแดง รวมถึงแผงคอนโซลตกแต่งด้วยสีดำเงา Piano Black และสีเงิน Polar Silver ดูลงตัวและไม่เกร่อเหมือนโครเมี่ยมหรือสีเงินทั่วไป
โดยหลักแล้วการตกแต่งภายในห้องโดยสารยังคงเหมือนกับรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ แต่มีการเพิ่มอุปกรณ์ให้ทันสมัยและสดใหม่ยิ่งขึ้น เริ่มตั้งแต่หน้าจอแสดงผล MyLink ขนาด 7 นิ้ว รองรับการสัมผัสหน้าจอได้โดยตรง สามารถเล่นซีดีได้ 1 แผ่น รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่าน Bluetooth มีพอร์ต USB และ AUX มาให้เสร็จสรรพ ซ่อนเอาไว้ในกล่องเก็บของคอนโซลกลาง
เครื่องเสียงชุดนี้ยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียง พร้อมปุ่มควบคุมบริเวณขวามือของพวงมาลัย ขับกำลังเสียงผ่านลำโพงทั้งหมด 6 จุดรอบคัน
ปุ่มล็อกประตูเดิมที่ติดตั้งไว้บนแผงคอนโซล ถูกย้ายไปไว้บริเวณแผงสวิตช์ควบคุมกระจกไฟฟ้า แล้วแทนที่ด้วยปุ่มเปิดฝากระโปรงท้าย ไล่ลงมาเป็นแผงควบคุมระบบปรับอากาศอัตโนมัติที่ให้ความเย็นรวดเร็วไม่แพ้กับรถญี่ปุ่น
ตัวพวงมาลัยเป็นแบบสามก้านหุ้มด้วยวัสดุหนัง สามารถปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ด้านซ้ายมีปุ่มควบคุมระบบ Cruise Control มาให้ ด้านขวาเป็นปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ขณะที่ก้านไฟเลี้ยวติดตั้งไว้ทางขวามือเช่นเดียวกับรถญี่ปุ่น ส่วนระบบปัดน้ำฝนเป็นแบบอัตโนมัติ
ชุดมาตรวัดความเร็วยกมาจากของเดิมทั้งหมด พื้นหลังสีดำเรืองแสงด้วยสีฟ้า ติดตั้งหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่มาให้ครบถ้วน สามารถสั่งงานที่ปุ่มบริเวณก้านไฟเลี้ยว
ตัวเบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบปรับมือ ฝั่งคนขับสามารถปรับระดับความสูงได้ ฟองน้ำบุในตัวเบาะออกแบบให้กึ่งแข็ง ไม่ยวบยาบ ซัพพอร์ตแผ่นหลังและสะโพกได้ดี รวมถึงมีปีกเบาะขนาดใหญ่ที่ช่วยให้ผู้โดยสารแนบอยู่กับที่ในขณะเข้าโค้งแรงๆ
เบาะนั่งด้านหลังขนาดใหญ่สามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 ได้ ติดตั้งหมอนพิงศีรษะมาให้ทั้ง 3 ตำแหน่ง มาพร้อมที่วางแขนแบบพับได้ พร้อมช่องวางแก้วน้ำจำนวน 2 ใบ แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีช่องแอร์ด้านหลังมาให้ ซึ่งห้องโดยสารด้านหลังของ Cruze มีขนาดกว้างขวาง ตัวเบาะมีองศาเอนพอประมาณ สามารถนั่งโดยสารได้โดยไม่รู้สึกอึดอัด
ที่บังแดดด้านหน้าติดตั้งกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิดพร้อมไฟส่องสว่างมาให้ พร้อมไฟอ่านแผนที่แยกซ้าย-ขวา กระจกมองหลังในรุ่น LTZ เป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ ขณะที่วัสดุบุหลังคาถือว่าดีกว่ารถญี่ปุ่นบางรุ่นด้วยซ้ำ
Cruze ใหม่ มาพร้อมกุญแจรีโมทแบบพับได้ ซึ่งคงไม่จำเป็นต้องพับกุญแจกันบ่อยนัก เพราะมีระบบ Keyless Entry ที่สามารถล็อค-ปลดล็อคโดยไม่ต้องใช้กุญแจ สามารถกดปุ่มบริเวณที่เปิดประตูด้านนอกได้ทันทีโดยมีข้อแม้ว่าต้องเก็บกุญแจเอาไว้กับตัว ซึ่งระบบที่ว่านี้ทำงานคู่กับปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วย
นอกจากนั้น ในเวลากลางคืนจะมีระบบ Follow Me Home ที่หน่วงเวลาปิดไฟหน้ารถมาให้ เพื่อความสะดวกในการเดินในที่มืด และจะสว่างขึ้นเช่นกันเมื่อกดปลดล็อคประตูด้วยรีโมท แต่หากเป็นการเปิดฝากระโปรงท้าย ไฟส่องป้ายทะเบียนก็จะสว่างขึ้น เพื่อให้เห็นพื้นที่ด้านหลังตัวรถยามค่ำคืน ถือเป็นอ็อพชั่นเล็กๆน้อยๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียด และมีประโยชน์ในการใช้งานจริง
เชฟโรเลต ครูซ ไมเนอร์เชนจ์ ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินรหัส F18D4 แถวเรียง 4 สูบ Double CVC ความจุ 1.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-เมตร ที่ 3,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSC แบบ 6 สปีด รองรับพลังงานทางเลือกสูงสุด E85
ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง โช้คอัพแก๊ส และเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีมรูปตัววี คอยล์สปริง และโช้คอัพแก๊ส ระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ มีครีบระบายความร้อนด้านหน้า
ด้านระบบความปลอดภัยถือว่าครบครัน ด้วยถังลมนิรภัยคุ่หน้าและด้านข้างทั้งหมด 4 ใบ ติดตั้งระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS และ EBD ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESC พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เข็มขัดนิรภัยเป็นแบบ 3 จุดทั้ง 5 ที่นั่ง พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ
เรามาเริ่มทดสอบกันเลยดีกว่า
อัตราเร่งของเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ในครูซไมเนอร์เชนจ์ใหม่ แม้ว่าเครื่องยนต์จะมีกำลังกว่า 141 แรงม้า กับแรงบิดอีก 177นิวตัน-เมตร แต่ก็ยังให้แรงดึงไม่สะใจเท่าที่ควร อยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปเท่านั้น ถ้าวันไหนเกิดอารมณ์สปอร์ตอยากซิ่งขึ้นมา การตอบสนองก็อาจไม่ทันใจนัก ส่วนระบบเกียร์ถือว่าดีขึ้นกว่าเดิม แม้จะมีจังหวะเปลี่ยนเกียร์ให้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าลื่นไหล ไม่มีอาการกระตุกให้เห็น
แต่จุดเด่นที่เรียกได้ว่าเป็นดีเอ็นเอของเชฟโรเลตกันไปแล้ว ก็คือช่วงล่างที่เกาะถนนได้อย่างหนึบหนับ ขับสนุก ช็อคอัพและสปริงถูกเซ็ทมาอย่างพอเหมาะพอเจาะ มีอาการติดแข็งให้เห็นอยู่เล็กๆ แต่ก็รองรับแรงสะเทือนได้อย่างไม่มีปัญหา สามารถใช้งานที่ความเร็วสูงได้ค่อนข้างมั่นใจ หากเทียบกับรุ่นก่อนจะรู้สึกว่าช่วงล่างของโฉมไมเนอร์เชนจ์นี้ สามารถควบคุมได้ง่ายขึ้น เดาอาการได้ง่ายขึ้น
ขณะที่พวงมาลัยก็เปลี่ยนไปจากเดิมเช่นกัน โดยให้น้ำหนักที่เบาลงกว่าเดิม ขณะที่ความเร็วสูงก็ยังให้ความมั่นใจดี ดูเหมือนจะมีอาการฟรีอยู่บ้าง แต่ก็ช่วยให้สามารถควบคุมทิศทางได้อย่างมั่นคงที่ความเร็วสูง ดังนั้น ระบบช่วงล่างของครูซไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ถือว่าเป็นจุดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
สรุป Chevrolet Cruze 1.8 LTZ ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ถือเป็นความพยายามในการปรับให้สดใหม่ขึ้นอีกครั้ง ด้วยภายนอกที่ดูหรูหราขึ้นกว่าเดิม ภายในเพิ่มระบบ MyLink ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น จุดเปลี่ยนสำคัญก็คือช่วงล่าง ทั้งระบบซับแรงสะเทือนและพวงมาลัย ที่ช่วยให้ครูซใหม่ดูเป็นรถที่ขับง่ายและน่าใช้ขึ้นกว่าเดิม กำลังเครื่องยนต์อาจไม่ดึงสะใจเท่ากับคู่แข่ง แต่ก็พอให้ใช้งานได้อย่างเหลือเฟือในชีวิตประจำวัน ส่วนอ็อพชั่นก็จัดมาแบบครบๆ ไม่น้อยหน้าค่ายอื่นเลย เทียบกับค่าตัวในรุ่นท็อปสุดระดับ 1 ล้านบาทมีเงินทอน ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า น่าใช้คันหนึ่งในตลาดขณะนี้
ราคาจำหน่าย 2016 Chevrolet Cruze 1.8 LTZ อยู่ที่ 998,000 บาท
ขอขอบคุณ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จํากัด ที่เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดสอบในครั้งนี้เป็นอย่างสูง
อัลบั้มภาพ 62 ภาพ