รีวิว 2016 Chevrolet Cruze 1.8 LTZ ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ปรับลุคหรู ขับสนุกขึ้นอีกนิด

รีวิว 2016 Chevrolet Cruze 1.8 LTZ ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ปรับลุคหรู ขับสนุกขึ้นอีกนิด

รีวิว 2016 Chevrolet Cruze 1.8 LTZ ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ปรับลุคหรู ขับสนุกขึ้นอีกนิด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     ปัจจุบันแม้ว่าตลาดครอสโอเวอร์กำลังมาแรง แต่รถยนต์ในกลุ่ม C-Segment ก็ยังคงถือเป็นตลาดสำคัญของบ้านเราอยู่ดี ด้วยขนาดตัวที่พอเหมาะ ใช้งานในเมืองก็ดี ขับไปต่างจังหวัดก็ได้ ใช้งานคนเดียวหรือทั้งครอบครัวก็ไม่เคอะเขิน ดังนั้น เชฟโรเลตจึงยังคงทำตลาด ‘Cruze’ อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางคู่แข่งที่ต่างก็ดึงเอาจุดเด่นมาขับเคี่ยวกันอย่างแข็งขัน

     Sanook! Auto จึงขอพาคุณผู้อ่านไปรู้จักกับรถ C-Segment ที่แม้จะดูนอกกระแสไปบ้าง แต่ก็ถือว่ามีจุดเด่นไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะอ็อพชั่นและช่วงล่าง

 

     Chevrolet Cruze รุ่นปี 2016 ใหม่ ถือเป็นการบิ๊กไมเนอร์เชนจ์นับตั้งแต่ถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2010 หรือกว่า 6 ปีมาแล้ว ซึ่งระหว่างนั้นก็มีการปรับโฉมย่อยมาเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นโฉมนี้ในที่สุด

     Cruze โฉมปัจจุบันทำตลาดทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ 1.8 LT และ 1.8 LTZ ซึ่งใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน มีให้เลือกเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ ต่างกันที่อ็อพชั่นและรายละเอียดการตกแต่งเล็กๆน้อยๆ

     คันที่เรานำมาทดสอบในครั้งนี้เป็นรุ่นท็อปสุด ก็คือ Cruze 1.8 LTZ ที่มีราคาค่าตัวอยู่ที่ 998,000 บาท ซึ่งก็ถือว่าถูกกว่ารุ่นท็อปในระดับเดียวกัน ที่ราคาทะลุ 1 ล้านบาทกันไปแล้ว

 

     รูปลักษณ์ภายนอกดูเปลี่ยนแปลงใหม่อย่างชัดเจน ด้วยกระจังหน้าทรง Dual Port ดีไซน์ใหม่ ตกแต่งด้วยโครเมี่ยมเพิ่มความหรูหรา ติดตั้งไฟหน้าทรงเดิมแบบฮาโลเจน มีระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติตามสภาพแสง ติดตั้งไฟ Daytime Running Light แบบ LED ไว้ใกล้กับไฟตัดหมอก ตกแต่งด้วยโครเมี่ยม ขณะที่ตัวกันชนและช่องดักลมถูกออกแบบใหม่ขึ้นทั้งชิ้น

     ด้านข้างติดตั้งกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว สามารถปรับ-พับได้ด้วยไฟฟ้า ที่เปิดประตูตกแต่งด้วยโครเมี่ยมเพิ่มความหรูยิ่งขึ้น ไล่มาทางด้านหลังจะพบกับไฟท้ายดีไซน์ใหม่ ออกแบบให้ดูมีอารมณ์คล้ายกับสปอร์ตรุ่นพี่อย่าง Camaro เข้าไปด้วย ขณะที่ตัวโคมไฟด้านในข้างหนึ่งจะเป็นไฟถอยหลัง ส่วนอีกข้างสำหรับไฟตัดหมอก

 

     ตัวกันชนมีการดีไซน์ใหม่ ตกแต่งด้วยแถบโครเมี่ยมยาวตลอดแนว ติดตั้งเซ็นเซอร์ถอยหลังแบบ 4 จุดดีไซน์เรียบเนียนไปกับกันชน กรอบป้ายทะเบียนถูกย้ายมาไว้บริเวณกันชน

     Cruze 1.8 LTZ มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว และยางขนาด 215/50 R17 ขณะที่รุ่น 1.8 LT จะมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วแทน

 

     ห้องโดยสารภายในตกแต่งด้วยสีทูโทน ดำ-น้ำตาลแดง รวมถึงแผงคอนโซลตกแต่งด้วยสีดำเงา Piano Black และสีเงิน Polar Silver ดูลงตัวและไม่เกร่อเหมือนโครเมี่ยมหรือสีเงินทั่วไป

     โดยหลักแล้วการตกแต่งภายในห้องโดยสารยังคงเหมือนกับรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ แต่มีการเพิ่มอุปกรณ์ให้ทันสมัยและสดใหม่ยิ่งขึ้น เริ่มตั้งแต่หน้าจอแสดงผล MyLink ขนาด 7 นิ้ว รองรับการสัมผัสหน้าจอได้โดยตรง สามารถเล่นซีดีได้ 1 แผ่น รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่าน Bluetooth มีพอร์ต USB และ AUX มาให้เสร็จสรรพ ซ่อนเอาไว้ในกล่องเก็บของคอนโซลกลาง

     เครื่องเสียงชุดนี้ยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียง พร้อมปุ่มควบคุมบริเวณขวามือของพวงมาลัย ขับกำลังเสียงผ่านลำโพงทั้งหมด 6 จุดรอบคัน

 

     ปุ่มล็อกประตูเดิมที่ติดตั้งไว้บนแผงคอนโซล ถูกย้ายไปไว้บริเวณแผงสวิตช์ควบคุมกระจกไฟฟ้า แล้วแทนที่ด้วยปุ่มเปิดฝากระโปรงท้าย ไล่ลงมาเป็นแผงควบคุมระบบปรับอากาศอัตโนมัติที่ให้ความเย็นรวดเร็วไม่แพ้กับรถญี่ปุ่น

     ตัวพวงมาลัยเป็นแบบสามก้านหุ้มด้วยวัสดุหนัง สามารถปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ด้านซ้ายมีปุ่มควบคุมระบบ Cruise Control มาให้ ด้านขวาเป็นปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ขณะที่ก้านไฟเลี้ยวติดตั้งไว้ทางขวามือเช่นเดียวกับรถญี่ปุ่น ส่วนระบบปัดน้ำฝนเป็นแบบอัตโนมัติ

 

     ชุดมาตรวัดความเร็วยกมาจากของเดิมทั้งหมด พื้นหลังสีดำเรืองแสงด้วยสีฟ้า ติดตั้งหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่มาให้ครบถ้วน สามารถสั่งงานที่ปุ่มบริเวณก้านไฟเลี้ยว

     ตัวเบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบปรับมือ ฝั่งคนขับสามารถปรับระดับความสูงได้ ฟองน้ำบุในตัวเบาะออกแบบให้กึ่งแข็ง ไม่ยวบยาบ ซัพพอร์ตแผ่นหลังและสะโพกได้ดี รวมถึงมีปีกเบาะขนาดใหญ่ที่ช่วยให้ผู้โดยสารแนบอยู่กับที่ในขณะเข้าโค้งแรงๆ

 

     เบาะนั่งด้านหลังขนาดใหญ่สามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 ได้ ติดตั้งหมอนพิงศีรษะมาให้ทั้ง 3 ตำแหน่ง มาพร้อมที่วางแขนแบบพับได้ พร้อมช่องวางแก้วน้ำจำนวน 2 ใบ แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีช่องแอร์ด้านหลังมาให้ ซึ่งห้องโดยสารด้านหลังของ Cruze มีขนาดกว้างขวาง ตัวเบาะมีองศาเอนพอประมาณ สามารถนั่งโดยสารได้โดยไม่รู้สึกอึดอัด 

 

     ที่บังแดดด้านหน้าติดตั้งกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิดพร้อมไฟส่องสว่างมาให้ พร้อมไฟอ่านแผนที่แยกซ้าย-ขวา กระจกมองหลังในรุ่น LTZ เป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ ขณะที่วัสดุบุหลังคาถือว่าดีกว่ารถญี่ปุ่นบางรุ่นด้วยซ้ำ

     Cruze ใหม่ มาพร้อมกุญแจรีโมทแบบพับได้ ซึ่งคงไม่จำเป็นต้องพับกุญแจกันบ่อยนัก เพราะมีระบบ Keyless Entry ที่สามารถล็อค-ปลดล็อคโดยไม่ต้องใช้กุญแจ สามารถกดปุ่มบริเวณที่เปิดประตูด้านนอกได้ทันทีโดยมีข้อแม้ว่าต้องเก็บกุญแจเอาไว้กับตัว ซึ่งระบบที่ว่านี้ทำงานคู่กับปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วย

     นอกจากนั้น ในเวลากลางคืนจะมีระบบ Follow Me Home ที่หน่วงเวลาปิดไฟหน้ารถมาให้ เพื่อความสะดวกในการเดินในที่มืด และจะสว่างขึ้นเช่นกันเมื่อกดปลดล็อคประตูด้วยรีโมท แต่หากเป็นการเปิดฝากระโปรงท้าย ไฟส่องป้ายทะเบียนก็จะสว่างขึ้น เพื่อให้เห็นพื้นที่ด้านหลังตัวรถยามค่ำคืน ถือเป็นอ็อพชั่นเล็กๆน้อยๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียด และมีประโยชน์ในการใช้งานจริง

 

     เชฟโรเลต ครูซ ไมเนอร์เชนจ์ ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินรหัส F18D4 แถวเรียง 4 สูบ Double CVC ความจุ 1.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-เมตร ที่ 3,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSC แบบ 6 สปีด รองรับพลังงานทางเลือกสูงสุด E85

     ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง โช้คอัพแก๊ส และเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีมรูปตัววี คอยล์สปริง และโช้คอัพแก๊ส ระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ มีครีบระบายความร้อนด้านหน้า

     ด้านระบบความปลอดภัยถือว่าครบครัน ด้วยถังลมนิรภัยคุ่หน้าและด้านข้างทั้งหมด 4 ใบ ติดตั้งระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS และ EBD ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESC พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เข็มขัดนิรภัยเป็นแบบ 3 จุดทั้ง 5 ที่นั่ง พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ

 

     เรามาเริ่มทดสอบกันเลยดีกว่า

     อัตราเร่งของเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ในครูซไมเนอร์เชนจ์ใหม่ แม้ว่าเครื่องยนต์จะมีกำลังกว่า 141 แรงม้า กับแรงบิดอีก 177นิวตัน-เมตร แต่ก็ยังให้แรงดึงไม่สะใจเท่าที่ควร อยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปเท่านั้น ถ้าวันไหนเกิดอารมณ์สปอร์ตอยากซิ่งขึ้นมา การตอบสนองก็อาจไม่ทันใจนัก ส่วนระบบเกียร์ถือว่าดีขึ้นกว่าเดิม แม้จะมีจังหวะเปลี่ยนเกียร์ให้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าลื่นไหล ไม่มีอาการกระตุกให้เห็น

     แต่จุดเด่นที่เรียกได้ว่าเป็นดีเอ็นเอของเชฟโรเลตกันไปแล้ว ก็คือช่วงล่างที่เกาะถนนได้อย่างหนึบหนับ ขับสนุก ช็อคอัพและสปริงถูกเซ็ทมาอย่างพอเหมาะพอเจาะ มีอาการติดแข็งให้เห็นอยู่เล็กๆ แต่ก็รองรับแรงสะเทือนได้อย่างไม่มีปัญหา สามารถใช้งานที่ความเร็วสูงได้ค่อนข้างมั่นใจ หากเทียบกับรุ่นก่อนจะรู้สึกว่าช่วงล่างของโฉมไมเนอร์เชนจ์นี้ สามารถควบคุมได้ง่ายขึ้น เดาอาการได้ง่ายขึ้น

 

     ขณะที่พวงมาลัยก็เปลี่ยนไปจากเดิมเช่นกัน โดยให้น้ำหนักที่เบาลงกว่าเดิม ขณะที่ความเร็วสูงก็ยังให้ความมั่นใจดี ดูเหมือนจะมีอาการฟรีอยู่บ้าง แต่ก็ช่วยให้สามารถควบคุมทิศทางได้อย่างมั่นคงที่ความเร็วสูง ดังนั้น ระบบช่วงล่างของครูซไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ถือว่าเป็นจุดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

     สรุป Chevrolet Cruze 1.8 LTZ ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ถือเป็นความพยายามในการปรับให้สดใหม่ขึ้นอีกครั้ง ด้วยภายนอกที่ดูหรูหราขึ้นกว่าเดิม ภายในเพิ่มระบบ MyLink ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น จุดเปลี่ยนสำคัญก็คือช่วงล่าง ทั้งระบบซับแรงสะเทือนและพวงมาลัย ที่ช่วยให้ครูซใหม่ดูเป็นรถที่ขับง่ายและน่าใช้ขึ้นกว่าเดิม กำลังเครื่องยนต์อาจไม่ดึงสะใจเท่ากับคู่แข่ง แต่ก็พอให้ใช้งานได้อย่างเหลือเฟือในชีวิตประจำวัน ส่วนอ็อพชั่นก็จัดมาแบบครบๆ ไม่น้อยหน้าค่ายอื่นเลย เทียบกับค่าตัวในรุ่นท็อปสุดระดับ 1 ล้านบาทมีเงินทอน ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า น่าใช้คันหนึ่งในตลาดขณะนี้


     ราคาจำหน่าย 2016 Chevrolet Cruze 1.8 LTZ อยู่ที่ 998,000 บาท

 

ขอขอบคุณ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จํากัด ที่เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดสอบในครั้งนี้เป็นอย่างสูง

 


อัลบั้มภาพ 62 ภาพ

อัลบั้มภาพ 62 ภาพ ของ รีวิว 2016 Chevrolet Cruze 1.8 LTZ ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ปรับลุคหรู ขับสนุกขึ้นอีกนิด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook