รีวิว Chevrolet Colorado 2.5 High Country ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ขับสนุกขึ้นนิด ฟังก์ชั่นเพิ่มขึ้นแยะ
แม้ว่ากระบะพันธุ์แกร่งจากค่ายมะกัน Chevrolet Colorado รุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ใหม่ จะถูกเปิดตัวไปแล้วเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่ประกาศราคาจำหน่ายแต่อย่างใด ซึ่งทางเชฟโรเลตเองระบุว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ก็จะมีการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการอีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้นเราก็จะทราบกันแล้วว่าค่าตัวของโคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ จะยั่วยวนใจสักเพียงใด
ล่าสุดทาง เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย ได้เชิญทีมงาน Sanook! Auto เข้าร่วมทดสอบกระบะ โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ บนเส้นทาง กรุงเทพฯ-ราชบุรี เพื่อพิสูจน์ว่ารถคันนี้ไม่ได้มีเพียงหน้าตาที่เปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ยังพ่วงมาด้วยอ็อพชั่นและการขับขี่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม
โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ ทำตลาดทั้งหมด 17 รุ่นย่อย โดยแบ่งออกเป็น 4 รุ่นหลัก ได้แก่ LS, LT, LTZ และ High Country มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลให้เลือกเพียงขนาดเดียว คือ 2.5 ลิตร ส่วนเครื่องยนต์บล็อก 2.8 ลิตรถูกตัดออกไป แต่ก็มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร ใหม่ ให้มีพละกำลังมากขึ้นกว่าเดิม
โดยคันที่เรามีโอกาสทดสอบในครั้งนี้ เป็นรุ่นท็อปสุด ก็คือ Colorado High Country เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ซึ่งเน้นจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการกระบะระดับพรีเมี่ยม เน้นการใช้งานเชิงไลฟ์สไตล์มากกว่า เหมาะสำหรับขับไปทำงานในวันธรรมดา และใช้เพื่อการท่องเที่ยวสันทนาการช่วงวันหยุดนั่นเอง
รูปลักษณ์ภายนอกของ โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ มีการปรับปรุงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากเวอร์ชั่นอเมริกาเหนือ ที่น่าจะถูกใจลูกค้าทางฝั่งเอเชียด้วยเช่นกัน มาพร้อมไฟหน้าแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ฮาโลเจนทรงเหลี่ยม พร้อม Daytime Running Light แบบ LED รูปทรงตัว L ที่ติดตั้งอยู่ในชุดโคมเดียวกัน รับกับกระจังหน้าแบบ 2 ชั้นขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยโครเมี่ยม พร้อมสัญลักษณ์โบว์ไทแปะไว้ตรงกลาง
ตัวกันชนมีการออกแบบใหม่หมดเช่นกัน โดยตกแต่งด้วยสีดำเพิ่มความดุดัน พร้อมไฟตัดหมอกทรงกลม ซึ่งทางวิศวกรของเชฟโรเลตระบุว่าการดีไซน์ส่วนหน้าใหม่ทั้งหมดนี้ จะช่วยเพิ่มความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์มากขึ้นกว่า 12 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
ตั้งแต่กลางลำตัวไปจนถึงด้านหลังยังคงดีไซน์เดิมเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงตำแหน่งกล้องมองหลังจากเดิมติดตั้งไว้ด้านบนของกระบะท้าย เลื่อนลงมาติดตั้งซ่อนไว้ในชุดเดียวกับมือเปิดกระบะ ช่วยให้ดูไม่รกหูรกตา รวมถึงล้ออัลลอยสีทูโทนลายใหม่ขนาด 18 นิ้ว
ห้องโดยสารมีการปรับปรุงใหม่เช่นกัน โดยออกแบบแผงคอนโซลหน้าใหม่ทั้งหมด เน้นความเป็นเอกลักษณ์ของเชฟโรเลตเอง ตกแต่งด้วยโทนสีเข้ม พร้อมเบาะนั่งหุ้มหนังสีน้ำตาล ‘Very Dark Atmosphere’ ใหม่
ติดตั้งระบบอินโฟเทนเม้นท์ MyLink พร้อมหน้าจอแบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว สามารถรองรับระบบ Apple CarPlay ได้เป็นรายแรกในรถกระบะ เพียงแต่เสียบสาย USB เข้ากับโทรศัพท์ไอโฟน ก็จะปรากฏเมนูแอปเปิ้ลคาร์เพลย์ขึ้นมาทันที สามารถดึงเพลงจากโทรศัพท์มาฟังบนรถได้ด้วย แม้แต่การฟังเพลงผ่านสตรีมมิ่งแอพอย่าง Joox ก็ทำได้เช่นกัน
ส่วนใครใช้มือถือระบบแอนดรอยด์ก็ไม่ต้องน้อยใจไป เพราะเครื่องเสียงชุดนี้รองรับระบบ Android Auto ได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ปัจจุบันทางกูเกิ้ลเองยังไม่เปิดให้ใช้อย่างเป็นทางการในประเทศไทย อดใจรออีกนิดรับรองว่าได้ใช้สมใจหวังแน่นอน
มาตรวัดความเร็วมีการออกแบบใหม่ ออกแบบให้อ่านง่ายขึ้น ตกแต่งด้วยโครเมี่ยม พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ไว้ตรงกลาง สามารถบอกตำแหน่งเกียร์ขณะเปลี่ยนเป็นโหมดธรรมดาได้
โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ยังมีลูกเล่นที่เพิ่มขึ้นอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นระบบรีโมทสตาร์ท ที่สามารถสตาร์ทรถพร้อมเปิดที่ปรับอากาศได้จากกุญแจรีโมท เหมาะสำหรับสภาพอากาศร้อนๆของบ้านเรายิ่งนัก ซึ่งใครกังวลเรื่องความปลอดภัยก็สบายใจได้ เพราะก่อนที่จะทำการรีโมทสตาร์ทได้นั้น จำเป็นต้องกดปุ่มล็อคประตูรถเสียก่อน จึงไม่มีใครสามารถขึ้นรถขับไปได้อย่างแน่นอน
นอกจากนั้น ยังมีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ กล้องมองหลังแบบมีเส้นกะระยะพร้อมเซ็นเซอร์ถอยจอดรอบคัน รวมถึงเพิ่มระบบเตือนแรงดันลมยางมาให้ด้วย ซึ่งสามารถแสดงความดันลมยางแต่ละล้อได้บนหน้าจอ MID ได้แบบเรียลไทม์
ฟังก์ชั่นอีกอย่างที่เพิ่มขึ้นมา คือ กระจกคู่หน้าที่สามารถเลื่อนลงได้เล็กน้อย เพื่อช่วยให้ปิดประตูง่ายขึ้น โดยกระจกจะเลือนลงทันทีที่เปิดประตู เพื่อช่วยในการระบายอากาศ ไม่ให้มีแรงดันที่ทำให้ปิดประตูยาก และจะเลื่อนขึ้นอัตโนมัติเมื่อประตูรถถูกปิดสนิท การทำงานคล้ายกับพวกรถสปอร์ตคูเป้ที่ไม่มีกรอบประตูนั่นเอง
ด้านความปลอดภัยนั้น โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ ใหม่ มีการติดตั้งระบบเตือนการชนด้านหน้า และเตือนเมื่อออกจากช่องจราจรมาให้ ซึ่งทั้งสองระบบจะเป็นการส่งสัญญาณเตือนเท่านั้น ไม่มีการเบรกให้อัตโนมัติหรือดึงพวงมาลัยกลับแต่อย่างใด โดยระบบเตือนการชนด้านหน้าสามารถปรับระยะการเตือนจากรถคันหน้าได้ 3 ระดับ ซึ่งก็ถือว่าช่วยได้ระดับหนึ่ง ในกรณีที่คนขับเผลอไม่มองเส้นทางจนมีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ
ส่วนระบบความปลอดภัยพื้นฐานก็มีมาให้อย่างครบๆตามสไตล์เชฟโรเลต ทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยหัวเข่าผู้ขับขี่, ระบบเบรก ABS/EBD ระบบเพิ่มแรงดันเบรก PBA, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESC, ระบบป้องกันการลื่นไถลขณะออกตัวและทางโค้ง TCS, ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS, ระบบป้องกันรถพลิกคว่ำ ARP และระบบควบคุมเสถียรภาพขณะลากจูง TSC
ขุมพลังของ โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ ใหม่ มีให้เลือกเพียงขนาดเดียว คือ 2.5 ลิตร ดูราแม็กซ์ 4 สูบ ดีเซลเทอร์โบไดเร็คอินเจคชั่น แต่ปรับปรุงให้รีดกำลังได้มากขึ้น โดยมีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 180 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และเกียร์ธรรมดา 6 สปีดให้เลือก
นอกจากนั้น เครื่องยนต์บล็อกนี้ยังถูกปรับปรุงให้ลดเสียงรบกวนได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการติดตั้งวัสดุซับเสียงบริเวณหัวฉีด รวมถึงยางรองตัวถังและยางแท่นเครื่องแบบใหม่ ที่ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนลงจากเดิม
โคโลราโด ใหม่ ยังมีการเปลี่ยนพวงมาลัยเป็นแบบไฟฟ้า EPS ที่ไม่ฉุดกำลังเครื่องยนต์เหมือนกับแบบเดิม รวมถึงมีการติดตั้งระบบกันสะเทือนชุดใหม่ ที่ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลมากขึ้นอีกด้วย
เริ่มต้นออกเดินทางจากถนนสาทร มุ่งหน้าขึ้นทางด่วนไปยังถนนพระราม 2 ซึ่งสิ่งที่สัมผัสได้คืออัตราเร่งที่แทบไม่ต่างจากเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ที่เราเคยสัมผัสก่อนหน้าเลย เรี่ยวแรงยังคงมีให้ใช้ในทุกย่านความเร็วรอบเครื่องยนต์ แรงบิดกว่า 440 นิวตัน-เมตร มีให้เค้นอย่างสนุกสนาน แต่บุคลิกของโคโลราโด จะมีลักษณะต่างจากกระบะจากค่ายญี่ปุ่นคือ แรงดึงจะมีความสุขุมนุ่มนวลกว่า ไม่ถึงกับกระโชกโฮกฮาก ซึ่งผู้ที่ชอบความนุ่มนวลในการออกตัวน่าจะชอบเซ็ตติ้งลักษณะนี้
ด้านพวงมาลัยแม้มีการปรับเปลี่ยนไปใช้แบบไฟฟ้า แต่การตอบสนองยังคงคล้ายกับรุ่นเดิม คือ จะมีระยะฟรีให้เห็นอยู่นิดๆ ที่ความเร็วต่ำอาจต้องใช้แรงหมุนมากกว่าพวงมาลัยไฟฟ้าทั่วไปเสียหน่อย แต่น้ำหนักที่ความเร็วสูงถือว่าใช้ได้ และไม่ไวจนเกินไป
การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารทำได้ดีขึ้น โดยมีการเปลี่ยนกระจกบังลมหน้าให้มีความหนามากขึ้น ซึ่งทางวิศวกรเคลมว่าลดเสียงรบกวนได้ 8 เปอร์เซ็นต์ แต่สำหรับเราคงไม่ถึงกับตีตัวเลขออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์เป๊ะๆ แต่ก็พอให้สัมผัสได้ว่าเงียบขึ้นจริงๆ ทั้งเสียงลมปะทะด้านหน้า และจากแนวขอบประตูด้านข้าง
ขณะที่ช่วงล่างถูกปรับปรุงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเดิมช่วงล่างของโคโลราโดค่อนข้างซับแรงสะเทือนจากพื้นถนนได้ดีอยู่แล้ว ขณะที่รุ่นใหม่ยังคงไว้ซึ่งความนุ่มนวลเช่นเคย แต่เพิ่มประสิทธิภาพในการเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น ในจังหวะจั๊มพ์คอสะพานแรงๆ ตัวรถยังคงนิ่ง ไม่มีอาการเป๋ ถือว่าเป็นช่วงล่างรถกระบะที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดขณะนี้
เมื่อเดินทางมาถึง จ.ราชบุรี เรายังได้มีโอกาสทดสอบ โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ ใหม่ บนเส้นทางออฟโรดที่โหดพอตัว ด้วยสายฝนที่โปรยปรายมาเป็นระยะ โดยเราใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ 4L ตลอดระยะทาง เคลื่อนที่ไปช้าๆด้วยความเร็วราว 5-20 กม./ชม. ผ่านช่วงที่เป็นแอ่งโคลนเหลวได้อย่างสบาย
ขณะที่ช่วงทางลงเขา ยังมีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติขณะลงทางชัน HDC ให้ได้ใช้กันด้วย ซึ่งช่วยให้การขับขี่ง่ายขึ้นมาก เพราะเพียงแค่กดปุ่ม ระบบเบรกก็จะทำงานอัตโนมัติ เพื่อควบคุมความเร็วให้เหมาะสมกับความลาดชันขณะนั้น ที่เหลือก็เพียงแต่บังคับพวงมาลัยให้ไปยังทิศทางที่ต้องการ
Colorado ใหม่ รองรับการขับผ่านน้ำที่ความลึก 80 เซนติเมตรโดยไม่เกิดความเสียหาย ดังนั้น การขับขี่ผ่านลำธารเล็กๆจึงถือเป็นเรื่องที่สบายมาก ประกอบกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแล้ว เรียกว่าไปไหนไปกัน!
สรุป Chevrolet Colorado 2.5 High Country ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ถือเป็นการไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ ที่ไม่ได้ปรับเพียงรูปลักษณ์หน้าตาเท่านั้น แต่ภายในยังมีการเพิ่มฟีเจอร์เด่นๆเข้ามา ทำให้เป็นรถที่น่าอภิรมย์ในการขับขี่มากขึ้น รวมถึงเครื่องยนต์ที่แม้จะมีขนาดเพียง 2.5 ลิตร แต่ในความเป็นจริงแทบไม่รู้สึกต่างจาก 2.8 ลิตรเดิมเลย ช่วงล่างปรับปรุงให้ซับแรงสะเทือนได้ดี ควบคู่ไปกับความหนึบหนับเกาะถนนตามสไตล์เชฟโรเลต ถือว่าเป็นกระบะไลฟ์สไตล์อีกคันที่ไม่ควรมองข้าม
ราคาจำหน่าย Chevrolet Colorado ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ จะมีการประกาศอีกครั้งเร็วๆนี้
ขอขอบคุณผู้บริหารและฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติเชิญเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้
อัลบั้มภาพ 53 ภาพ