5 พฤติกรรมทำร้ายรถหนักยิ่งกว่าอุบัติเหตุ
การใช้รถในชีวิตประจำวัน ไม่เพียงแต่ใช้เพื่อเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งเท่านั้น แต่ให้ดีควรดูแลรักษาควบคู่กันไปด้วย เพื่อยืดอายุการใช้งานของรถให้ยาวนานขึ้น และประหยัดค่าบำรุงรักษาได้
Sanook! Auto จึงขอแนะนำให้หลีกเลี่ยง 5 พฤติกรรมทำร้ายรถไม่รู้ตัวที่คุณอาจทำอยู่ก็เป็นได้
1.เหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงขณะเครื่องเย็น
หลายคนเดินทางไปทำงานตอนเช้า พอสตาร์ทเครื่องยนต์ปุ๊ป ก็ออกเดินทางโดยใช้ความเร็วสูงทันที ซึ่งการสตาร์ทเครื่องยนต์ตอนเช้าหลังจากที่จอดรถทิ้งไว้ทั้งคืนนั้น น้ำมันเครื่องยังไปหล่อเลี้ยงส่วนประกอบภายในเครื่องยนต์ได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้เกิดการเสียดสีอย่างรุนแรง รวมถึงอุณหภูมิของน้ำมันเครื่องและน้ำมันเกียร์ยังคงเย็นอยู่เช่นกัน ทางที่ดีควรเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ จนกว่าไฟเตือนน้ำหล่อเย็นสีน้ำเงินดับลง หรือจนกว่าเข็มวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นขึ้นมาใกล้ระดับกึ่งกลางมาตรวัด
2.คิกดาวน์บ่อยครั้ง
การคิกดาวน์ คือ การเร่งความเร็วโดยเพิ่มน้ำหนักคันเร่ง จนกระทั่งเกียร์มีการเปลี่ยนอัตราทดไปยังต่ำแหน่งที่ต่ำกว่า (จากเกียร์ 4 ไปเกียร์ 3 เป็นต้น) ซึ่งช่วยเรียกแรงม้าและแรงบิดให้รถพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว แต่การคิกดาวน์บ่อยๆนั้น จะก่อให้เกิดผลเสียกับระบบเกียร์ในระยะยาว เนื่องจากชุดเฟืองต้องรับแรงบิดที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ส่งผลให้อายุการใช้งานเกียร์สั้นลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น หากไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนจริงๆ ก็ควรข้บไปเรื่อยๆดีกว่า
3.ข้ามหลังเต่าโดยไม่ชะลอความเร็ว
ไม่เพียงแต่เนินชะลอความเร็ว (หรือที่เรียกกันกว่า 'หลังเต่า') เท่านั้น แต่หลุมบ่อ-ฝาท่อกลางถนน ยังเป็นต้นเหตุให้ช่วงล่างเสื่อมเร็วกว่าปกติได้หากขับผ่านด้วยความเร็วสูง ทางที่ดีควรชะลอความเร็วให้พอเหมาะก่อนข้ามหลังเต่าหรือขับผ่านฝาท่อ จะช่วยยืดอายุช่วงล่างออกไปได้ แถมยังช่วยให้ไม่เกิดเสียงดังตึงตังจากการกระแทกในระยะยาวอีกด้วย ยิ่งรถคันไหนใส่ยางแก้มเตี้ยแล้วล่ะก็ ควรระมัดระวังข้อนี้ให้เป็นพิเศษ
4.ลุยน้ำท่วมสูงเกินไป
แม้ว่าบางครั้งจะหลีกเลี่ยงการขับรถผ่านที่ที่มีน้ำท่วมขังไม่ได้ แต่ก็ควรที่จะเลือกใช้เลยที่มีน้ำท่วมขังตื้นที่สุด เพราะน้ำจำนวนมากอาจถูกดูดเข้าไปยังห้องเครื่องยนต์ทำให้ก้านสูบหัก และอาจทำให้น้ำเข้าไปยังห้องเกียร์ได้อีกต่างหาก
5.ไม่สนใจไฟเตือนบนหน้าปัด
ไฟเตือนบนหน้าปัดถือเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะไฟเตือนที่เป็นสีเหลืองและสีแดง ซึ่งไฟเตือนสีแดงมักหมายถึงระบบที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อน และระบบความปลอดภัย หากมีสัญญาณไฟตัวไหนสว่างขึ้น ควรตรวจสอบกับคู่มือทันทีว่าเกิดปัญหาอะไร แต่หากเป็นไฟรูปเครื่องยนต์ ควรรีบนำรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการทันที เพื่อให้ช่างทำการตรวจสอบต่อไป หากปล่อยเอาไว้อาจเกิดปัญหาลุกลามบานปลายได้
เหล่านี้เป็นเทคนิคเล็กๆน้อยๆ ที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ให้นานขึ้น และช่วยประหยัดค่าบำรุงรักษาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่ามือใหม่ทั้งยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรถยนต์ของตัวเองมากนัก