รีวิว Honda City 2017 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ พรีเมี่ยมขึ้นในราคาเท่าเดิม

รีวิว Honda City 2017 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ พรีเมี่ยมขึ้นในราคาเท่าเดิม

รีวิว Honda City 2017 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ พรีเมี่ยมขึ้นในราคาเท่าเดิม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     รถยนต์กลุ่มบี-เซ็กเม้นต์พิกัด 1.5 ลิตร ในปัจจุบันกำลังทำตลาดอย่างขับเคี่ยว ซึ่งหนึ่งในเรือธงของกลุ่มนี้ ก็คือ Honda City 2017 ใหม่ ที่เพิ่งปรับโฉมย่อยกระตุ้นตลาดไปเมื่อช่วงต้นปี 2560 ที่ผ่านมา

     ดังนั้น เมื่อทางบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ให้เกียรติชักชวน Sanook! Auto เข้าร่วมทดสอบหนึ่งในรถซีดานขายดีที่สุดในตลาดขณะนี้ เราจึงไม่พลาดมาบอกเล่าประสบการณ์ขับขี่ให้คุณผู้อ่านได้ทราบกัน

     ฮอนด้า ซิตี้ 2017 โฉมไมเนอร์เชนจ์ ใหม่ ถูกเปิดตัวเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งไทยถือเป็นประเทศแรกที่ได้รับการเปิดตัวโฉมไมเนอร์เชนจ์นี้ จุดเปลี่ยนสำคัญของ City 2017 ใหม่ เห็นจะเป็นการปรับปรุงดีไซน์ภายนอกให้ดูหรูหรากว่าโฉมที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มชิ้นส่วนโครเมียมตามจุดต่างๆ การเปลี่ยนไฟหน้าในรุ่นท็อปเป็นแบบ LED เช่นเดียวกับรถรุ่นใหญ่ รวมถึงการเปลี่ยนไปใช้ล้ออัลลอยดีไซน์หรู จากเดิมที่ให้ความรู้สึกสปอร์ตมากกว่า

     ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ทำตลาดทั้งหมด 6 รุ่นย่อยเช่นเคย ได้แก่ S MT, S CVT, V CVT, V+ CVT, SV CVT และ SV+ CVT ซึ่งคันที่เราได้รับทดสอบครั้งนี้เป็นรุ่นท็อปสุด ก็คือ SV+ CVT นั่นเอง

 

ดีไซน์ภายนอก

 105

     Honda City รุ่น 1.5 SV+ ยังคงใช้ตัวถังเดิมตามฉบับการปรับโฉมย่อย ไฟหน้าจากเดิมที่เป็นแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ฮาโลเจน ถูกเปลี่ยนเป็นแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED ในตัว ซึ่งไฟหน้าของซิตี้ใหม่ จะเป็นแบบ LED ทั้งไฟสูงและไฟต่ำ

     กระจังหน้าถูกออกแบบให้ด้วยดีไซน์แบบตะแกรง คาดด้วยแถบโครเมียมขนาดใหญ่ ติดตั้งไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED ซึ่งมีให้ตั้งแต่รุ่น SV ขึ้นมา

103

     ไล่มาทางด้านข้างไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกเหนือจากล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ในทุกรุ่นย่อย ซึ่งในรุ่น SV ขึ้นมาจะเป็นล้อขนาด 16 นิ้วสีทูโทน พร้อมยาง Turanza ER370 ขนาด 185/55 R16 ขณะที่ด้านท้ายมีการเปลี่ยนกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ ส่วนไฟท้ายยังคงดีไซน์เช่นเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง

     ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆยังคงเดิม เช่น กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัว, มือจับประตูโครเมียม, เสาอากาศแบบครีบฉลาม, คิ้วฝากระโปรงท้ายโครเมียม เป็นต้น

 

ดีไซน์ภายใน

109_1

     ก้าวเข้ามานั่งภายในห้องโดยสารของ ซิตี้ ไมเนอร์เชนจ์ ที่ยังคงตกแต่งด้วยโทนสีดำเป็นหลัก แผงคอนโซลยังคงดีไซน์เดิมเอาไว้ แต่เปลี่ยนเครื่องเสียงจากเดิมที่มีขนาด 7 นิ้ว เป็นฟร้อนท์แบบมาตรฐานขนาด 2DIN พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 6.8 นิ้ว มีปุ่มควบคุมที่สามารถกดได้จริงๆ จากเดิมที่เป็นแบบสัมผัสทั้งหมด ซึ่งมีข้อดีคือสามารถใช้งานได้สะดวกขึ้นในขณะขับขี่ เพราะไม่ต้องเสียสมาธิในการใช้นิ้วจิ้มให้ตรงตำแหน่ง ขณะที่พอร์ต HDMI และ USB ถูกย้ายไปติดตั้งไว้บนฟร้อนท์ทั้งหมด

     เครื่องเสียงชุดนี้สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธได้ทั้งระบบ Android และ iOS มาพร้อมปุ่มรับสาย-วางสายที่พวงมาลัย ขับกำลังเสียงผ่านลำโพงทั้งหมด 8 จุดรอบคัน อีกทั้งยังสามารถแสดงภาพจากกล้องมองหลัง ปรับองศาได้ 3 ระดับ เสียดายไม่มีเซ็นเซอร์กะระยะท้ายมาให้

105_1

     ไล่ลงมายังคงติดตั้งสวิตช์ควบคุมระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบสัมผัส สามารถปรับอุณหภูมิขึ้น-ลงได้ครั้งละ 1 องศา หากใช้นิ้วลากลงจนสุดบริเวณปุ่มปรับอุณหภูมิ หน้าจอจะแสดงคำว่า LO ซึ่งเป็นการปรับให้อุณหภูมิเย็นจัด เหมาะสำหรับเวลาขึ้นรถหลังจากที่จอดตากแดดร้อนๆ ขณะที่เหนือเพดานติดตั้งไฟห้องโดยสารและไฟอ่านแผนที่แบบ LED เช่นเดียวกับรถระดับหรู

100

     ขณะที่อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ยังคงมีมาให้อย่างครบถ้วน ซึ่งสมัยที่ซิตี้เปิดตัวใหม่ๆ ก็นับได้ว่าเป็นรถบี-เซ็กเมนต์พิกัด 1,500 ซีซี ที่ติดตั้งอ็อพชั่นมาให้เยอะที่สุดคันหนึ่งในตลาด ซึ่งในรุ่นไมเนอร์เชนจ์นี้ก็ยังคงแน่นไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control, ระบบกุญแจอัจฉริยะ Honda Smart Key System พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์, มาตรวัดเรืองแสงพร้อมจอ MID ที่แสดงข้อมูลได้หลากหลาย รวมถึงแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยที่ปรับอัตราทดได้ 7 สปีด ฯลฯ

112

     ตัวเบาะนั่งในรุ่น 1.5 SV+ ถูกหุ้มด้วยวัสดุผ้าสีดำ ตกแต่งรายละเอียดให้ดูสปอร์ตมากขึ้น เบาะนั่งฝั่งผู้ขับขี่สามารถปรับสูง-ต่ำได้ พร้อมพวงมาลัยปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ทั้งขึ้น-ลง, เข้า-ออก ช่วยให้ปรับตามสรีระของแต่ละคนได้ดียิ่งขึ้น

     พื้นที่โดยสารด้านหลังยังคงกว้างขวางตามสไตล์ฮอนด้า ที่เน้นความสะดวกสบายของผู้โดยสารเป็นพิเศษ พื้นที่วางขามีให้แบบเหลือๆ กว้างกว่ารถ C-Segment บางรุ่นด้วยซ้ำไป ขณะที่องศาเอนของพนักพิงเบาะถูกเซ็ทมาให้กำลังดี เรียกว่าเหมาะสำหรับการใช้งานทั้งครอบครัว ที่มีผู้โดยสารเบาะหลังอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะผู้สูงวัยทั้งหลาย ไม่น่าจะมีใครบ่นในเรื่องนี้ เรียกว่าเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่ารถระดับเดียวกันอย่างแน่นอน มาพร้อมช่องจ่ายไฟขนาด 12 โวลต์ สำหรับผู้โดยสารตอนหลังอีก 2 ตำแหน่ง

113

     แต่จุดที่น่าสังเกต คือ ความนุ่มของฟองน้ำในตัวเบาะที่ค่อนข้างยวบไปนิด จริงอยู่ที่เบาะนิ่มๆ จะช่วยลดแรงสะเทือนจากช่วงล่างได้ แต่หากต้องโดยสารเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้รู้สึกเมื่อยได้ในบางคน

     ด้านระบบความปลอดภัยก็มีมาให้เพียบเช่นกัน ด้วยถุงลมนิรภัยทั้งหมด 6 จุดรอบคัน ทั้งคู่หน้า, ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย (ตั้งแต่รุ่น SV ลงไปมีเฉพาะคู่หน้า) ขณะที่ทุกรุ่นย่อยจะถูกติดตั้งระบบเบรก ABS/EBD, ระบบควบคุมเสถียรภาพ VSA, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA, ระบบไฟสัญญาณฉุกเฉินกะทันหัน ESS, ระบบล็อคประตูอัตโนมัติตามความเร็วรถ, เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าพร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ, เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด จำนวน 4 ที่นั่ง และแบบ 2 จุด อีก 1 ที่นั่ง รวมถึงจุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX

103_1

     ขุมพลังใน City 2017 ไมเนอร์เชนจ์ ยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร SOHC 4 สูบ 16 วาลว์ พร้อมระบบ i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 117 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่สามารถล็อคอัตราทดได้ 7 สปีด (เมื่อใช้โหมด Manual หรือเกียร์ Paddle Shift)

     ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม H-shape ติดตั้งพวงมาลัยไฟฟ้า EPS ระบบเบรกด้านหน้าแบบดิสก์เบรกพร้อมช่องระบายความร้อน ด้านหลังแบบดรัมเบรกในทุกรุ่นย่อย

119

     เส้นทางการทดสอบในครั้งนี้เริ่มต้นจากโชว์รูม บริษัท เอที ฮอนด้า ออโตโมบิล (เอกชัย-บางบอน) จำกัด ไปถึง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี รวมระยะทางไปกลับประมาณ 350 กิโลเมตร ให้เราได้คลุกคลีใช้ชีวิตในรถคันนี้กันพอประมาณ

     เริ่มออกเดินทางกับ City 2017 ใหม่ ฟีลลิ่งที่สัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวเข้ามานั่งในรถ แทบไม่ต่างจากรุ่นเดิมเลย ไม่ว่าจะเป็นห้องโดยสารที่กว้างขวางในทุกที่นั่ง ซึ่งในขาแรกผู้เขียนมีโอกาสนั่งเบาะหลังก่อน ก็บอกได้เลยว่าเป็นรถที่พื้นที่โดยสารอย่างเหลือเฟือ ผู้เขียนเองที่มีความสูง 173 เซนติเมตร ยังพอมีพื้นที่เหนือศีรษะอยู่เล็กน้อย ส่วนพื้นที่วางขาสามารถนั่งไขว้ห้างได้สบายๆ

132

     ความเงียบภายในห้องโดยสารด้านหลังถือว่าทำได้ดี มีเสียงจากพื้นถนนเล็ดลอดเข้ามาบ้าง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด ยังคงสนทนากับผู้ขับขี่ได้สบาย ขณะที่ความนุ่มนวลก็ตามสไตล์ฮอนด้า สามารถซับแรงสะเทือนเวลาที่ขับผ่านหลุมหรือฝาท่อได้พอสมควร มีกระด้างให้เห็นอยู่นิดๆ ตอบโจทย์ผู้ที่เดินทางในแบบครอบครัวเป็นประจำได้ดี

     หลังจากที่จอดแวะดื่มกาแฟเป็นที่เรียบร้อย คราวนี้ผู้เขียนลองสลับมาเป็นผู้ขับดูบ้าง โดยภาพรวมการขับขี่ของซิตี้ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ยังคงไม่ต่างไปจากเดิมเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่งที่นุ่มนวลตามสไตล์เกียร์ CVT ซึ่งเซ็ตอัตราทดให้สามารถขับทางไกลได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องเค้นรอบสูงให้เปลืองน้ำมัน

     ช่วงล่างที่นุ่มนวลในมุมมองของผู้โดยสาร เมื่อมาเป็นผู้ขับขี่รู้สึกได้ว่าถูกเซ็ทมาแบบกลางๆ ไม่แข็งไปหรือนิ่มไป ช่วงล่างในย่านความเร็วต่ำจะมีอาการสะเทือนนิดๆ เมื่อขับผ่านหลุมหรือรอยต่อของถนน แต่เมื่อใช้ความเร็วสูง จะให้ความรู้สึกยวบยาบอยู่บ้าง ซึ่งเป็นสไตล์การเซ็ทช่วงล่างของฮอนด้าแทบทุกรุ่น

128

     ในช่วงที่เป็นทางโค้ง ช่วงล่างของซิตี้ยังไม่ถือว่าเป็นรถที่ขับสนุกนัก เพราะอย่างที่กล่าวไปว่าช่วงล่างของรถคันนี้ถูกเซ็ทมาให้นั่งสบายทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารเป็นหลัก จึงได้เปรียบเรื่องความนุ่มนวลนั่งสบาย แต่กลับกันพวงมาลัยยังให้ความรู้สึกแบบหุ่นยนต์ ไม่เป็นธรรมชาติมากนัก ซึ่งก็แล้วแต่จุดประสงค์การใช้งานของแต่ละคนด้วย

     ขณะที่การตอบสนองของแป้นเบรก เมื่อกดไปครั้งแรกอาจรู้สึกว่าความเร็วยังไม่ลดเท่าที่ควรนัก ต้องกดน้ำหนักเพิ่มลงไปอีกหน่อย ผ้าเบรกจึงจะเริ่มจับกับจานเบรกเต็มที่ ความเร็วจะเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ดี เจ้าของรถเองสามารถปรับตัวให้ชินกับเบรกรถแต่ละคันได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะผู้ที่ใช้รถคันเดียวเป็นประจำ ไม่เปลี่ยนไปขับคันนู้นคันนี้อยู่บ่อยครั้งเหมือนผู้เขียน จุดนี้จึงถือว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

133

     สรุป Honda City 2017 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ยังคงเป็นรถที่เอาใจการขับขี่แบบครอบครัวเช่นเคย แม้ว่าการปรับโฉมย่อยครั้งนี้ จะดูไม่หวือหวามากมายนัก แต่อย่าลืมว่า City โฉมนี้ก็ถือเป็นรถที่มีอุปกรณ์มาตรฐานมากที่สุดคันหนึ่งในรถระดับเดียวกันอยู่แล้ว ดังนั้น การปรับย่อยครั้งนี้ถือเป็นการปรับรูปลักษณ์ให้ดูสดใหม่น่าใช้ขึ้น ใส่ไฟหน้าแบบเดียวกับรถระดับราคาเกินล้านมาให้ใช้ บวกกับอ็อพชั่นที่ยังคงมีมาให้แน่นเอี๊ยด เทียบกับราคาจำหน่ายเท่าเดิมแล้ว จึงถือเป็นรถที่น่าใช้อีกรุ่นหนึ่งครับ

 

ราคาจำหน่าย Honda City 2017 ใหม่ มีดังนี้

รุ่น SV+ CVT ราคา 751,000 บาท (รุ่นที่ใช้ทดสอบ)
รุ่น SV CVT ราคา 736,000 บาท
รุ่น V+ CVT ราคา 689,000 บาท
รุ่น V CVT ราคา 649,000 บาท
รุ่น S CVT ราคา 589,000 บาท
รุ่น S MT ราคา 550,000 บาท

 

อัลบั้มภาพ 50 ภาพ

อัลบั้มภาพ 50 ภาพ ของ รีวิว Honda City 2017 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ พรีเมี่ยมขึ้นในราคาเท่าเดิม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook