รีวิว Volvo S90 D4 Inscription ใหม่ นี่คือวอลโว่ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา..!
หลังจากที่ Volvo S90 D4 Inscription ใหม่ ถูกเปิดตัวในไทยไปเมื่อช่วงปลายปี 2559 ที่ผ่านมา ล่าสุด วอลโว่ประเทศไทยก็เปิดโอกาสชักชวนทีมงาน Sanook! Auto เข้าร่วมทดสอบรถคันนี้บนเส้นทาง กทม.-เขาใหญ่ เพื่อสัมผัสความ ‘ล้ำ’ ของรถคันนี้จนเรียกได้ว่าพลิกโฉมภาพลักษณ์ของวอลโว่ไปอย่างสิ้นเชิง
ปัจจุบัน Volvo S90 มีวางจำหน่ายในไทยเพียงรุ่นเดียว นั่นคือ D4 Inscription หลังจากที่เปิดตัว XC90 ไปก่อนหน้านี้ โดยมีเฉพาะรุ่นนำเข้าจากประเทศสวีเดนเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าวัสดุที่เลือกใช้รวมถึงคุณภาพการประกอบถือว่าดีในระดับต้นๆ ของกลุ่มรถยนต์พรีเมี่ยมซีดานในบ้านเรา
ปัจจุบัน S90 D4 Inscription มีการส่งมอบมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา รวมถึง XC90 ใหม่ ที่เริ่มเห็นวิ่งบนท้องถนนกันบ้างแล้ว โดยเน้นกลุ่มลูกค้าไปที่นักธุรกิจ ผู้บริหารระดับสูง ที่ต้องการรถที่แสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพ ต้องการเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงความปลอดภัยอันเป็นจุดขายสำคัญของแบรนด์วอลโว่ตลอดมา
เพราะสิ่งหนึ่งที่วอลโว่ย้ำมาโดยตลอด ก็คือ ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป จะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตในรถวอลโว่รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ของ Håkan Samuelsson ประธานและผู้บริหารระดับสูงของวอลโว่คาร์นั่นเอง
Volvo S90 เป็นรถยนต์รุ่นที่ 2 ที่ใช้แพล็ตฟอร์ม SPA – Scalable Product Architecture ต่อจาก XC90 ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ โดยจะถูกนำไปใช้กับรถวอลโว่รุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ก็ตาม เนื่องจากแพล็ตฟอร์มนี้มีจุดเด่นอยู่ที่การรองรับเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดได้ และยังสามารถใช้กับรถยนต์ได้หลากหลายขนาดตามความต้องการของตลาดอีกด้วย
มาถึงตอนนี้หลายคนอาจจะยังสงสัยว่า Volvo S90 นั้น หากเทียบกับคู่แข่งจะอยู่ในกลุ่มไหน ใช่ S-Class หรือ 7-Series หรือเปล่า.. แต่ความจริงนั้น S90 ถูกพัฒนาต่อมาจาก S80 ดังนั้น คู่แข่งโดยตรงของรถรุ่นนี้ ก็คือกลุ่มพรีเมี่ยมขนาดกลาง เช่น E-Class และ 5-Series นั่นเอง
ดีไซน์ภายนอกของ Volvo S90 D4 Inscription ใหม่ ยังคงเน้นความเรียบหรูตามสไตล์สแกนดิเนเวียนได้เป็นอย่างดี เส้นสายตัวถังไม่ถึงกับหวือหวา แต่เปี่ยมด้วยความประณีตในการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นเส้นไหล่รถที่ลากยาวเป็นเส้นตรงจากด้านหน้าจรดด้านหลัง, การตกแต่งด้วยโครเมียมอย่างมีรสนิยม, การตกแต่งด้านหน้าและหลังด้วยไฟ LED ที่มีคาแรคเตอร์ชัดเจน โดยรวมแล้วทำให้ Volvo S90 ใหม่ เป็นรถที่ดึงดูดสายตาอย่างมากเลยทีเดียว
ดีไซน์ด้านหน้าติดตั้งไฟหน้าแบบ LED ทรงเรียวยาว พร้อม Daytime Running Light ดีไซน์ ‘ฆ้อนธอร์’ ซึ่งไฟหน้าชุดนี้มาพร้อมระบบ Active Bending Light หักเหตามการเลี้ยวของพวงมาลัย และ Active High Beam Control II เปิด-ปิดไฟสูงพร้อมปรับมุมส่องสว่างอัตโนมัติด้วย
ด้านท้ายติดตั้งไฟท้ายแบบ LED ดีไซน์เป็นรูปตัว C พร้อมสัญลักษณ์ ‘VOLVO’ ที่ติดตั้งให้ตัวอักษรห่างกันตามดีไซน์ของวอลโว่รุ่นใหม่ๆ พร้อมปุ่มเปิดฝากระโปรงด้านท้ายที่ซ่อนเอาไว้ ติดตั้งปลายท่อไอเสียทรงเหลี่ยมโครเมียมแบบคู่ ขณะที่ช่องติดตั้งแผ่นป้ายทะเบียนติดตั้งไว้บริเวณกันชน โดยใต้กันชนยังมีเซ็นเซอร์เท้าสำหรับเปิดฝากระโปรงท้ายแบบอัตโนมัติได้ เพียงแค่ถือกุญแจไว้กับตัว และสอดเท้าเข้าไปใต้กันชน ฝากระโปรงจะเปิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
ตัวถังของ Volvo S90 ใหม่ มีขนาดความยาวตลอดทั้งคันอยู่ที่ 4,963 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,879 มิลลิเมตร ความสูง 1,443 มิลลิเมตร และความยาวฐานล้อ 2,941 มิลลิเมตร ซึ่งในด้านความกว้างและความยาวถือว่ามากที่สุดในรถระดับเดียวกันขณะนี้
ล้ออัลลอยมีให้เลือกแบบ 10-Spoke สีเงินเพียงลายเดียวเท่านั้น โดยมีขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง Continental ContiSportContact 5 ขนาด 255/40 R19
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ตามสไตล์รถระดับหรู ขณะที่ด้านหลังเลือกใช้เป็นแบบ Integral Link พร้อมแหนบวางขวาง ช่วยให้ประหยัดพื้นที่ แถมยังให้ความนุ่มนวลเกาะถนนได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งเอสยูวีรุ่นใหญ่อย่าง XC90 ก็ใช้ช่วงล่างลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน
ห้องโดยสารภายในออกแบบเน้นความเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหรูหรา ดีไซน์แผงคอนโซลด้านหน้าหากดูเผินๆ คล้ายกับ XC90 ใหม่ โดดเด่นด้วยหน้าจอสัมผัส Sensus Connect แนวตั้งขนาด 9 นิ้ว ออกแบบให้เอนเข้าหาคนขับเล็กน้อย ซึ่งรวมฟังก์ชั่นการทำงานของตัวรถแทบทั้งหมดเอาไว้ ทั้งระบบปรับอากาศ ระบบเครื่องเสียง การตั้งค่าของตัวรถ ระบบนำทาง ฯลฯ ให้การสัมผัสลื่นไหลแบบเดียวกับสมาร์ทโฟนเปี๊ยบ
ใต้หน้าจอจะมีปุ่มโฮมติดตั้งไว้ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในเมนูไหนก็ตาม เพียงกดปุ่มโฮมหนึ่งครั้ง ระบบก็จะเด้งกลับมาที่หน้าแรกเสมอ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน โดยหน้าจอนี้ถูกขนาบด้วยช่องแอร์ทรงตั้งดีไซน์หรูหรา ที่ตกแต่งปุ่มจับด้วยโลหะรูปทรงเพชร
ถัดลงมาด้านล่างจะเป็นปุ่มควบคุมเครื่องเสียงที่ใช้บ่อยมาให้ เช่น ปุ่มปรับระดับเสียง, เลื่อนเพลง, ไล่ฝ้าหน้า-หลัง ปุ่มไฟฉุกเฉิน และช่องใส่ซิมการ์ดมาให้
ระบบปรับอากาศสามารถควบคุมผ่านหน้าจอ Sensus ทั้งหมด ซึ่งจะแสดงผลอยู่ด้านล่างตลอดเวลา รวมถึงมีระบบ Cleanzone ที่จะทำงานอัตโนมัติเมื่อสภาพอากาศภายนอกย่ำแย่ หรือนำอาหารที่มีกลิ่นรุนแรงเข้ามาภายในรถ เป็นต้น
ใกล้กับคันเกียร์จะมีปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ที่ออกแบบให้มีรูปทรงแบบเพชร พร้อมปุ่ม Drive Mode สำหรับปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี พร้อมปุ่มเบรกมือไฟฟ้าที่มีระบบเหยียบเบรกค้างอัตโนมัติมาให้
เหนือศีรษะเป็นไฟในห้องโดยสารแบบ LED ที่ให้แสงสว่างสวยงามยามค่ำคืน กระจกมองหลังเป็นแบบไร้กรอบ พร้อมระบบตัดแสงอัตโนมัติ รวมถึงหลังคาซันรูฟเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าสำหรับเบาะนั่งด้านหน้า พร้อมม่านกรองแสงสีดำมาให้
เบาะนั่งเป็นแบบหุ้มหนังสามารถปรับไฟฟ้าคู่หน้าได้ พร้อมระบบเมมโมรี่ให้ 3 ตำแหน่ง รวมถึงมีระบบดันหลังไฟฟ้า Lumbar Support ปรับได้ 4 ทิศทาง และเบาะรองต้นขาที่สามารถปรับยืดเข้า-ออกได้ด้วยไฟฟ้าเช่นกัน
ขณะที่พนักพิงศีรษะจะมีลักษณะเป็นแบบยึดตายตัว ไม่สามารถปรับระดับได้ แต่บอกได้เลยว่าเบาะนั่งของวอลโว่ S90 ในทุกตำแหน่ง รวมถึงรถวอลโว่รุ่นใหม่ๆ แทบทุกรุ่น สามารถออกแบบให้รองรับสรีระได้อย่างประเสริฐเลิศเลอ รวมถึงความนุ่มของฟองน้ำที่พอดิบพอดี ไม่นุ่มหรือแข็งจนเกินไป เป็นเบาะโดยสารที่สามารถเดินทางไกลได้สะดวกสบาย ควบคู่ไปกับความปลอดภัยหากเกิดเหตุชนท้ายขึ้นมา
เบาะนั่งด้านหลังสามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 ได้ด้วยระบบไฟฟ้า มาพร้อมระบบล็อคด้วยพาสเวิร์ดผ่านหน้าจอ Sensus ที่จะช่วยให้สามารถเก็บสิ่งของมีค่าไว้ท้ายรถได้อย่างปลอดภัย แม้ว่าจะเกิดเหตุทุบกระจกก็ตาม เพราะโจรจะไม่สามารถเข้าไปยังห้องเก็บสัมภาระได้ ซึ่งวิธีนี้เจ้าของรถจะต้องจำพาสเวิร์ดได้อย่างแม่นยำ เพราะหากลืมขึ้นมาต้องยกเข้าศูนย์ลูกเดียว
ห้องโดยสารด้านหลังจะไม่มีแผงควบคุมระบบปรับอากาศมาให้เหมือนใน XC90 แต่จะมีช่องแอร์บริเวณเสาด้านข้างมาให้ ซึ่งก็ให้ความเย็นเพียงพอต่อสภาพอากาศบ้านเรา รวมถึงมีช่องจ่ายกระแสไฟ 12 โวลต์ให้ 1 ตำแหน่ง
ห้องโดยสารของ Volvo S90 D4 Inscription หากเทียบกับ E-Class โฉม W213 ที่มีโอกาสลองขับมาก่อนหน้านี้ บอกเลยว่า S90 กว้างขวางกว่าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเบาะนั่งด้านหลังที่มีพื้นที่วางขาและพื้นที่เหนือศีรษะมาให้แบบเหลือๆ รวมถึงการออกแบบให้มีกระจกโอเปร่าคู่หลัง ยังช่วยให้ห้องโดยสารดูโปร่งสบายขึ้นด้วย
ตัวเบาะรองนั่งด้านหลังถูกออกแบบให้มีเว้าสำหรับผู้โดยสารตอนกลาง รวมถึงมีพนักพิงศีรษะซ่อนเอาไว้ให้ บวกกับความกว้างขวาง ทำให้โดยสารแบบ 5 ที่นั่งได้อย่างสบาย ขณะที่พนักพิงตรงกลางสามารถพับลงเป็นที่วางของกระจุกกระจิก รวมถึงที่วางแก้วน้ำแบบ 2 ตำแหน่งมาให้
ในด้านผู้ขับขี่ติดตั้งพวงมาลัยแบบ 3 ก้านหุ้มหนัง ที่ให้ความหนากระชับกำลังดี พร้อมปุ่มควบคุมระบบ Pilot Assist/Adaptive Cruise Control และปุ่มควบคุมสารพัดฟังก์ชั่นมาให้ ติดตั้งชุดมาตรวัดแบบหน้าจอสีขนาด 12.3 นิ้วใหญ่สะใจ พร้อมระบบแสดงข้อมูลการขับขี่ Head-up Display มาให้
จุดเด่นสำคัญอย่างหนึ่งของ Volvo S90 D4 Inscription ก็คือชุดเครื่องเสียง Premium Sound by Bowers & Wilkins พร้อมแอมปลิฟลายเออร์ขนาด 1,400 วัตต์ ลำโพงรอบคันทั้งหมด 19 ตัว พร้อมซับวูฟเฟอร์ สามารถขับกำลังเสียงรอบทิศทางแบบ Quantum Logic รวมถึงระบบสามารถมิติเสียง Dirac Dimension ที่ปรับได้ 3 โหมด ได้แก่ Concert, Studio และ Stage ซึ่งแน่นอนว่าเสียงที่ได้จัดว่าชั้นเลิศ เช่นเดียวกับ XC90 รุ่น T8 Inscription เลยทีเดียว
ด้านระบบรักษาความปลอดภัยนั้น แน่นอนว่าเป็นซีดานระดับแฟลกชิพขนาดนี้ ต้องจัดเต็มชนิดไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นระบบ City Safety เวอร์ชั่นล่าสุด ที่นอกเหนือจะตรวจจับรถทั่วไปได้แล้ว ยังตรวจจับคนเดินถนน, รถจักรยาน รวมถึงสัตว์ใหญ่ได้ด้วย หากมีความเสี่ยงที่จะพุ่งชนสิ่งเหล่านี้ด้วยความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. ระบบจะสั่งเบรกแบบเต็มกำลังทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น
ขณะที่ฟังก์ชั่นอย่างระบบเตือนมุมอับสายตา BLIS และระบบเตือนรถเคลื่อนผ่านขณะถอยหลัง Cross Traffic Alert ถือเป็นอุปกรณ์พื้นฐานของวอลโว่ไปแล้ว รวมถึงระบบ Driver Alert Control ที่จะช่วยป้องกันการหลับในของผู้ขับขี่ได้
จุดเด่นสำคัญของ Volvo S90 D4 Inscription คันนี้ ก็ถือระบบ Pilot Assist เจเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งถือเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดต่อจากที่ติดตั้งอยู่ใน XC90 รุ่นปัจจุบัน โดยระบบสามารถขับเคลื่อนตามรถคันหน้าได้อย่างอัตโนมัติที่ความเร็วไม่เกิน 130 กม./ชม. รวมถึงสามารถควบคุมพวงมาลัยได้เอง เรียกว่าเป็นระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติเลยก็ว่าได้ สาเหตุที่ยังคงต้องเรียกว่าเป็นกึ่งอัตโนมัติ ยังไม่เป็นอัตโนมัติเต็มรูปแบบสักทีเดียวนั้น ก็เนื่องมาจากวอลโว่ยังคงเน้นผู้ขับขี่เป็นหัวใจหลักของความปลอดภัย ดังนั้น การเปิดฟังก์ชั่น Pilot Assist เพื่อให้รถขับขี่ตามคันหน้าได้นั้น ผู้ขับขี่จะยังคงต้องวางมือไว้บนพวงมาลัยเผื่อในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา หากมีการปล่อยมือจากพวงมาลัยประมาณ 10-15 วินาที ระบบจะแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่จับพวงมาลัย อาจช้าหรือเร็วกว่านั้นขึ้นอยู่กับสภาพถนนและเส้นจราจรด้วย
ซึ่งระบบ Pilot Assist ยังสามารถช่วยให้รถเคลื่อนที่ขณะการจราจรหนาแน่นได้อัตโนมัติด้วย ซึ่งความพิเศษของเวอร์ชั่นใหม่ที่ติดตั้งอยู่ใน S90 D4 Inscription คันนี้ คือไม่ต้องอาศัยรถคันหน้าในการเคลื่อนที่อีกต่อไป เพียงแต่เส้นถนนจะต้องชัดเจน ไม่เลือนลางจนเกินไปเท่านั้น
ด้านระบบความปลอดภัยอื่นๆ ก็ถูกจัดมาให้เต็มที่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้างคู่หน้า, ม่านถุงลมนิรภัย, ระบบป้องกันเมื่อเกิดการวิ่งตกถนน (Run-Off Road Protection), ระบบควบคุมการทรงตัวและยึดเกาะถนนแบบไดนามิคและแบบอิเลคโทรนิกส์, ระบบควบคุมการทรงตัวและยึดเกาะถนนขณะเข้าโค้งด้วยแรงบิด, ระบบแจ้งเตือนรถวิ่งออกนอกเลน (Lane Keeping Aid) เป็นต้น
นอกจากนั้น Volvo S90 D4 Inscription ยังมาพร้อมกุญแจ 2 แบบ แบบแรกจะเป็นรีโมทคอนโทรลหุ้มหนัง ที่ถูกติดตั้งปุ่มควบคุมไว้ทางด้านข้าง และแบบที่สองจะเรียกว่า Key Tag ซึ่งสามารถพกติดตัวขณะออกกำลังกายได้ ซึ่งกุญแจแบบคีย์แท็กนี้สามารถป้องกันน้ำและเหงื่อได้ สามารถใช้ล็อค-ปลดล็อค และสตาร์ทเครื่องยนต์ได้เช่นเดียวกับกุญแจแบบ Keyless Entry ทั่วไปนั่นเอง
ด้านขุมพลังของ Volvo S90 ที่จำหน่ายในบ้านเราขณะนี้มีเพียงบล็อกเดียวเท่านั้น คือ D4 ที่เป็นแบบดีเซลคอมมอนเรลทวินเทอร์โบ พร้อมเทคโนโลยี i-ART ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หน้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะพร้อมระบบ Geartronic ปรับเปลี่ยนแบบธรรมดาได้
ซึ่งวอลโว่เองได้เคลมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ไว้ที่ 8.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 230 กม./ชม. ซึ่งถือว่าดีทีเดียวสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2 ลิตร ที่ต้องแบกรับตัวถังขนาดใหญ่เช่นนี้
เราเริ่มออกเดินทางจาก บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด บริเวณถนนรามคำแหง มุ่งหน้าสู่ อ.เขาใหญ่ บนเส้นทางที่คุ้นเคยดี
การขับขี่ในเมืองนั้น Volvo S90 D4 Inscription ให้อัตราเร่งที่ดี ความคล่องตัวอยู่ในระดับรถยนต์นั่งขนาดใหญ่กลุ่ม D-Segment ทั่วไป ห้องโดยสารภายในให้ความเงียบ ดูผ่อนคลาย ช่วงล่างสามารถซับแรงสะเทือนขณะขับผ่านหลุมหรือฝาท่อได้เป็นอย่างดี นุ่มนวลนั่งสบาย แต่ก็ไม่ถึงกับยวบยาบ ถือว่าเซ็ทมาอย่างพอเหมาะพอเจาะดีทีเดียว
เมื่อเราขึ้นมาบนทางด่วนที่พอทำความเร็วได้นั้น อัตราเร่งของเครื่องยนต์ดีเซล D4 ก็ยังถือว่าทันใจ มีให้เค้นอย่างเหลือเฟือ ถือว่าช่วงหลังๆมานี้ วอลโว่สามารถพัฒนาเครื่องยนต์ให้แรงและประหยัดได้ไม่แพ้รถจากฝั่งเยอรมันเลย ขณะที่การเปลี่ยนเกียร์สามารถทำได้ลื่นไหล ฉับไว ไม่มีอาการกระตุกให้เสียกำลัง ซึ่งข้อนี้สามารถทำได้ดีไม่แพ้รถยุโรปในระดับเดียวกัน
หลังจากพ้นเขตเมืองมาได้สักพัก ก็มีโอกาสทดสอบการขับขี่ทางไกลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งแม้ว่าต้องใช้ความเร็วสูง แต่แรงบิดสูงสุดกว่า 400 นิวตัน-เมตร ก็มีให้เค้นได้ตลอด หายห่วงเรื่องอัตราเร่งแซง บวกกับเกียร์อัตโนมัติที่มีอัตราทดละเอียดถึง 8 จังหวะ ช่วยให้การส่งกำลังต่อเนื่องและนุ่มนวลอย่างที่รถยุโรปหรูควรจะเป็น
ด้านการเก็บเสียงถือว่าทำได้ดีเช่นกัน ที่ความเร็วประมาณ 120 กม./ชม. มีเสียงจากพื้นถนนเข้ามาให้ได้ยินน้อยมาก รวมถึงเสียงเครื่องยนต์ดีเซลที่หลายคนกังวลนั้น แม้ว่าภายนอกจะมีเสียงดังอยู่พอสมควร แต่ภายในห้องโดยสารเรียกว่าคนละเรื่อง จะมีเสียงให้ได้ยินก็ช่วงเค้นคันเร่งให้รอบเครื่องยนต์สูงๆเท่านั้น ทำให้ห้องโดยสารของ Volvo S90 D4 Inscription รู้สึกผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ
ช่วงระหว่างทางเรามีโอกาสได้ทดสอบระบบ Pilot Assist ซึ่งเป็นระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ โดยผู้ขับขี่สามารถเปิดฟังก์ชั่นด้วยปุ่มควบคุมบนพวงมาลัยฝั่งซ้าย ที่มีการตั้งค่าไม่ต่างจากระบบ Cruise Control ทั่วไป แต่จะมีปุ่มให้เลือกเพื่อตั้งระยะห่างระหว่างรถคันหน้ามาให้ด้วย
ระบบ Pilot Assist จะช่วยรักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้าให้อัตโนมัติ หากรถคันหน้าชะลอลง ตัวรถจะสั่งชะลอความเร็วโดยอัตโนมัติเช่นกัน ในทางกลับกัน หากรถคันหน้าเพิ่มความเร็วมากขึ้น ตัวรถก็จะเพิ่มความเร็วตามไปด้วย แต่จะเพิ่มไปจนถึงความเร็วสูงสุดที่ตั้งไว้เท่านั้น หากตั้งไว้ที่ 120 กม./ชม. แต่รถคันหน้าวิ่งด้วยความเร็ว 130 กม./ชม. ระบบก็จะค้างไว้ที่ 120 กม./ชม.นั่นเอง
ซึ่งจุดเด่นของ Pilot Assist คือมันยังสามารถเข้าควบคุมพวงมาลัยให้เราได้โดยอัตโนมัติ โดยผู้ขับขี่สามารถจับพวงมาลัยอย่างหลวมๆไว้ ในช่วงที่เป็นโค้ง พวงมาลัยก็จะหักไปตามโค้งได้อย่างอัตโนมัติ แต่หากปล่อยมือออกจากพวงมาลัย เพียงชั่วอึดใจเดียวระบบจะแจ้งเตือนให้กลับมาจับพวงมาลัยอีกครั้ง หากยังไม่จับอีก ระบบจะส่งเสียงเตือน และถ้ายังฝืนไม่จับต่อไป ระบบ Pilot Assist จะตัดการทำงานทันทีเพื่อความปลอดภัย
แต่อย่างไรก็ดี ระบบ Pilot Assist ยังจำเป็นต้องพึ่งพาเส้นถนนที่ชัดเจน หากว่าจู่ๆ เส้นแบ่งเลนหายไปดื้อๆ ระบบก็จะตัดการทำงานโดยอัตโนมัติเช่นกัน ผู้ขับขี่จะต้องเข้าควบคุมพวงมาลัยโดยทันที ซึ่งในกรณีนี้พบได้ค่อนข้างบ่อย เพราะถนนบ้านเราก็รู้กันดีว่ายังไม่ได้มาตรฐานเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะหากเทียบกับฝั่งยุโรปหรืออเมริกา
แต่หากไม่ได้เปิดระบบ Pilot Assist นั้น ยังมีระบบ Lane Keeping Aid ที่ช่วยประคองพวงมาลัยในกรณีที่เบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งระบบจะคอยดึงพวงมาลัยกลับในกรณีที่ล้อรถข้างใดข้างหนึ่งใกล้จะทับเส้นแบ่งถนนแล้วเท่านั้น ฉะนั้นในการขับขี่ทั่วไป ตัวระบบ Lane Keeping Aid ถือว่าไม่แทรกแซงการบังคับพวงมาลัยจนน่ารำคาญเหมือนรถบางรุ่น ถือว่าทำการบ้านมาได้ค่อนข้างดี
สรุป Volvo S90 D4 Inscription เรียกว่าเป็นการพลิกโฉมรถซีดานระดับหรูของวอลโว่ให้ทัดเทียมคู่แข่งจากเยอรมันได้อย่างสมศักดิ์ศรี ห้องโดยสารภายในกว้างขวาง โปร่งโล่ง ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จ แรงหายห่วง ทั้งตีนต้นและตีนปลาย ช่วงล่างแม้ว่าจะเป็นแบบแหนบขวาง แต่ก็เซ็ทมาอย่างนุ่มนวลพอเหมาะพอเจาะ ให้การเกาะถนนที่ดี นั่งสบายแต่ไม่ยวบยาบ และน่าจะได้เรื่องของความทนทานในระยะยาว
ฟีเจอร์ Pilot Assist ถือเป็นจุดเด่นที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยโดยเฉพาะการขับขี่ระยะไกล และยังไม่มีในคู่แข่งรายไหน ดังนั้น หากกำลังมองหารถยุโรประดับพรีเมี่ยมสำหรับครอบครัว โดยสารได้ 4-5 ที่นั่งแบบสบายๆ ครบทั้งความแรง ความหรูหราที่แฝงด้วยความเรียบง่าย และฟังก์ชั่นอันล้ำสมัย Volvo S90 D4 Inscription ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากที่สุดคันหนึ่งในตลาดขณะนี้ครับ
ราคาจำหน่าย Volvo S90 D4 Inscription อยู่ที่ 3,990,000 บาท
ขอขอบคุณผู้บริหารและฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติเชิญเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้
อัลบั้มภาพ 74 ภาพ