ที่ปัดน้ำฝน ‘ไร้โครง’ ไม่ใช่แค่เท่..! แต่ยังเพิ่มความปลอดภัย
ที่ปัดน้ำฝนถือเป็นอะไหล่พื้นฐานที่ใครก็สามารถซื้อหามาเปลี่ยนเองได้ ปัจจุบันมีให้เลือกด้วยกันหลากหลายรูปแบบและราคา แล้วแบบนี้เราควรเลือกที่ปัดน้ำฝนแบบไหนดี?
ปัจจุบันที่ปัดน้ำฝนมีราคาให้เลือกตั้งแต่ไม่กี่ร้อยบาท ไปจนถึงหลักพันบาท ซึ่งดูเผินๆแล้ว เรามักไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างทั้งคู่ สุดท้ายก็มักเลือกตัวที่มีราคาถูกกว่า เพราะไม่อยากเสียเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น
ที่ปัดน้ำฝนแบบไร้โครงมีให้เห็นมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งนอกเหนือจากจุดเด่นเรื่องของความสวยงามแล้ว ยังมีประโยชน์มากกว่าที่คิด ซึ่งหนึ่งในผู้ผลิตที่ปัดน้ำฝนแบรนด์ดังของโลกอย่าง Bosch ก็มีใบปัดน้ำฝนรุ่นท็อปสุดที่มีชื่อว่า Aerotwin นั่นเอง
สำหรับ Bosch เองนั้น ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตใบปัดน้ำฝนเพื่อเป็นอะไหล่ทดแทนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ผลิตและออกแบบระบบปัดน้ำฝนของรถอีกหลายรุ่น โดยเฉพาะรถทางฝั่งยุโรป ไล่มาตั้งแต่มอเตอร์ที่ปัดน้ำฝน, ก้านปัดน้ำฝน และชิ้นส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยบอชต้องมีการออกแบบดีไซน์และลักษณะการปัดเพื่อให้เข้ากับรถแต่ละรุ่นได้
สำหรับใบปัดน้ำฝน Aerotwin นั้น เป็นใบปัดที่มีลักษณะแบบไร้โครงเหล็ก สามารถกระจายแรงกดจากสปริงได้เท่ากันทั้งก้าน ต่างจากใบปัดแบบโครงเหล็กที่จะมีจุดยึดย่อยๆ ทำให้แรงกดตลอดก้านไม่เท่ากัน ซึ่งเมื่อใช้งานไปนานๆ อาจทำให้ปัดน้ำฝนได้ไม่สะอาด ทิ้งรอยน้ำไว้หลังจากที่ปัดน้ำฝนไปแล้ว
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งของ Bosch Aerotwin คือการเลือกวัตถุดิบชนิดพิเศษ ใช้น้ำยางที่มีคุณภาพสูงในการทำยางใบปัดน้ำฝน ซึ่งจะทำให้อายุการใช้งานใบปัดยาวนานกว่าปกติ
มาถึงตรงนี้หลายคนคงคิดว่า แล้วทำไมถึงไม่ใช้ใบปัดอันละไม่กี่ร้อยบาทล่ะ ถึงจะเสื่อมเร็วกว่าแต่ก็เปลี่ยนบ่อยๆได้... จริงครับ... ถ้าเปลี่ยนอันใหม่บ่อยๆได้ก็ดีอยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ ที่ปัดน้ำฝนเป็นอะไหล่ที่เรามักมองข้ามไปเวลาที่ฝนไม่ตก ทำให้หลายคนลืมเปลี่ยนอยู่บ่อยๆ เมื่อฝนตกขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่สะดวกที่จะเปลี่ยนขณะนั้น ส่งผลให้ทัศนวิสัยลดลงจนอาจเกิดเป็นอันตรายได้
ดังนั้น การเลือกใบปัดน้ำฝนที่มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า จึงน่าจะเป็นทางออกที่ดี เพราะอย่างน้อยก็ช่วยยืดรอบระยะเวลาการเปลี่ยนออกไปได้ โดยตัวใบปัดเองยังคงสามารถทำงานได้ดีแม้เวลาผ่านไปนานแล้วก็ตาม
ปัจจุบันรถยุโรปส่วนใหญ่ โดยเฉพาะรถจากฝั่งเยอรมนี ถูกเปลี่ยนไปใช้ใบปัดน้ำฝนแบบไร้โครงกันแทบทั้งหมดแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการออกแบบตัวใบปัดตามหลักอาการพลศาสตร์ ที่ช่วยเพิ่มแรงกดให้กับใบปัดในขณะรถวิ่งด้วยความเร็วสูง ช่วยคงประสิทธิภาพการรีดน้ำออกจากกระจกแม้ใช้ความเร็วสูงได้
เนื่องจากเยอรมนีมีทางหลวงระหว่างเมืองที่เรียกว่า Autobahn ซึ่งไม่มีการจำกัดความเร็ว ดังนั้น การรักษาทัศนวิสัยในการขับขี่ในเวลาฝนตกให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับเวลาปกติ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
สำหรับการติดตั้งใบปัดน้ำฝน Bosch Aerotwin ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แทบไม่ต่างอะไรจากที่ปัดน้ำฝนปกติเลย มีขนาดให้เลือกตามความต้องการของรถแต่ละรุ่น ซึ่งรถญี่ปุ่นที่มักใช้ล็อครูปตัว U ก็สามารถเสียบใช้ได้ทันที
ยกตัวอย่างรถ Mazda2 สีขาวคันนี้ที่ใช้ล็อครูปตัว U เช่นกัน ให้ถอดใบปัดน้ำฝนอันเก่าออกเสียก่อน จากนั้นตัว Bosch Aerotwin จะมีพลาสติกครอบล็อคอยู่ชั้นหนึ่ง เมื่อเปิดขึ้นมาก็จะพบกับล็อคสำหรับเสียบก้านรูปตัว U โดยเฉพาะ ก็สอดใบปัดน้ำฝนเข้าไปจนเข้าล็อค ปิดฝาครอบพลาสติก เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี
เมื่อลองติดตั้งใบปัด Bosch Aerotwin ทั้งสองข้าง ก็พบว่าตัวใบปัดแบบไร้โครงทำให้รถดูดีขึ้นไม่น้อย มีลักษณะคล้ายกับรถยุโรปรุ่นใหม่ๆ ที่มักติดตั้งใบปัดแบบไร้โครงมาให้ตั้งแต่โรงงาน ซึ่งนับเป็นหนึ่งในข้อดีของใบปัดชนิดนี้
เมื่อทดลองเปิดใช้งานดูก็พบว่าตัวใบปัดสามารถรีดน้ำได้สะอาดและรวดเร็วตั้งแต่ครั้งแรกที่ปัด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อทัศนวิสัยการขับขี่ ช่วยให้มองเส้นทางได้สะดวกขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วย
แม้ว่า Bosch Aerotwin จะมีราคาค่อนข้างสูงในตลาด แต่ก็แลกมาด้วยประสิทธิภาพการปัดตามมาตรฐานเยอรมนี แถมยังช่วยให้รถดูเท่ขึ้นไม่เบาอีกด้วยครับ
อัลบั้มภาพ 10 ภาพ