เข้าใจผิด…เข้าใจใหม่! 5 สิ่งที่คนใช้รถต้องรู้

เข้าใจผิด…เข้าใจใหม่! 5 สิ่งที่คนใช้รถต้องรู้

เข้าใจผิด…เข้าใจใหม่! 5 สิ่งที่คนใช้รถต้องรู้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     ในยุคที่รถยนต์กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่แทบจะขาดกันไม่ได้สำหรับคนเมือง ความเชื่อบางอย่าง หรือพฤติกรรมการใช้รถที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาจากคำว่า “เขาบอกว่า” อาจไม่ถูกต้องเสมอไป Tonkit360 มี 5 ความเข้าใจผิดของคนใช้รถมา ฝากกัน ลองดูกันว่า คุณเป็นหนึ่งในคนที่้้เข้าใจผิดกับเรื่องราวของรถยนต์ดังต่อไปนี้ด้วยหรือไม่

105

เปิดไฟฉุกเฉินขณะข้ามแยกหรือฝนตกหนัก

     ความเข้าใจในการเปิดไฟฉุกเฉิน (Hazard Light) หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่าไฟผ่าหมาก ขณะรถขับผ่านสี่แยก เพื่อให้รถคันหลัง หรือจากฝั่งตรงข้ามได้เห็นว่าเรากำลังจะขับตรงไปนั้น คือความเข้าใจและการปฏิบัติที่ทำสืบต่อกันมาแบบผิดๆ เนื่องจาก อาจทำให้รถทางซ้ายของคุณที่มองเห็นไฟเลี้ยวซ้ายข้างเดียวอาจคิดว่าคุณจะเลี้ยวซ้ายจึงไม่หยุด และส่งผลให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นในกรณีที่จะตรงข้ามแยก ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดไฟฉุกเฉินแต่อย่างใด ไฟดังกล่าว ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “ฉุกเฉิน” ซึ่งเราควรใช้ในกรณีที่ด้านหน้าเกิดอุบัติเหตุ หรือรถจอดเสียกลางถนนเท่านั้น

     นอกจากนี้ยังมีหลายๆคนที่เปิดไฟดังกล่าวในขณะที่ฝนตกหนัก เพราะเข้าใจว่าจะทำให้รถคันหลังมองเห็นรถของเราได้ชัดเจน แต่หารู้ไม่ว่า รถคันหลังอาจเข้าใจผิดว่ารถของเราเสีย และอาจหักหลบไปในช่องทางที่ไม่ปลอดภัยก็เป็นได้ นอกจากนี้ หากเราเปิดไฟฉุกเฉินขณะฝนตกหนัก อาจทำให้เราเผลอขณะเปลี่ยนเลน จนนำมาซึ่งอุบัติเหตุจากรถที่ขับตามมาด้านหลังได้เช่นกัน

 

104

ขับรถช้าไม่ได้ช่วยประหยัดน้ำมันเสมอไป

     ความเข้าใจที่ว่าขับรถช้าแล้วประหยัดน้ำมันนั้น แท้จริงแล้วความเร็วไม่ได้มีผลโดยตรงต่อการประหยัดน้ำมัน แต่มันอยู่ที่พฤติกรรมการขับรถของคุณมากกว่า โดยหากคุณใช้คันเร่งแบบไม่กระโชกโฮกฮาก และทำความเร็วขึ้นไปที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ความเร็วตามกฏหมายกำหนดบนทางพิเศษ) และรักษารอบเครื่องยนต์เอาไว้แบบสม่ำเสมอที่ 2,000 ถึง 2,500 รอบต่อนาที รับรองประหยัดน้ำมันได้แน่นอน

     ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่สุดในการขับรถให้ประหยัดน้ำมัน คือการวิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอมากกว่าเรื่องของตัวเลขความเร็ว นั่นเป็นเหตุผลว่า เพราะเหตุใดรถที่ขับในเมืองที่ต้องเร่ง และใช้รอบเครื่องสูงๆ เบรก และออกตัวบ่อยๆ แม้จะขับด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ก็จะกินน้ำมันกว่ารถที่วิ่งยาวๆและใช้รอบเครื่องสม่ำเสมอนั่นเอง     

 

103

ยกก้านปัดน้ำฝนขณะจอดตากแดด

     เราอาจจะเห็นเจ้าของรถบางคน ยกก้านปัดน้ำฝนตั้งขึ้นทุกครั้งที่จอดรถกลางแจ้ง เพราะเข้าใจว่าอากาศที่ร้อนจัดจะทำให้ยางปัดน้ำฝนที่สัมผัสกับกระจกรถของคุณเสื่อมสภาพ แต่ความเป็นจริงแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆเลยที่จะยกก้านปัดน้ำฝนขึ้นมาขณะจดรถทิ้งไว้กลางแจ้ง เพราะยางปัดน้ำฝนส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานของมันอยู่ราว 1 ปีครึ่ง และความร้อนจากกระจกก็ไม่ได้มีผลแต่อย่างใด

     ที่สำคัญหากคุณก้านปัดน้ำฝนตั้งขึ้นบ่อยๆจะมีผลโดยตรงต่อสปริงที่เป็นตัวบังคับให้ก้านแนบชิดติดกระจก บางทีสิ่งที่จะเสียหายก่อนยาง อาจเป็นสริงหรือตัวมอเตอร์ซึ่งมีราคาแพงกว่ายางหลายเท่าตัว

 

100

เติมน้ำมันออกเทนสูงไม่ได้ทำให้รถแรงขึ้น

     ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า “ค่าออกเทน” คือ ค่าความต้านทานการจุดระเบิดน้ำมันเบนซิน หรือตัวเลข แสดงความต้านทานการน็อคของเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ ถ้าค่าออกเทนสูง จะมีความต้านทานการน็อคของเครื่องยนต์สูง ไม่เกี่ยวกับความแรงของเครื่องยนต์รถคุณแต่อย่างใด

     ฉะนั้นหากสเปกรถของคุณกำหนดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ที่ ออกเทน 91 แล้วไปเติมน้ำมันออกเทน 95 ไม่ได้มีผลให้เครื่องแรงขึ้น เพราะ เครื่องยนต์จุดระเบิดเท่าเดิม พลังงานที่เผาพลาญเท่าเดิม ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากออกเทนที่สูงขึ้นแค่อย่างใด มิหนำซ้ำมันจะทำให้เปลืองเงินในกระเป๋าสตางค์ของคุณโดยใช่เหตุ

 

101

ไฟตัดหมอกอย่าเปิดใช้พร่ำเพรื่อ!

     ในรถยนต์รุ่นใหม่แทบทุกคัน มักจะมีการติดตั้งไฟตัดหมอก ทั้งด้านหน้า และด้านหลังออกมาจากโรงงานโดยมีเป้าหมายช่วยเพิ่มทัศนวิสัยการขับขี่ อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาเราเห็นรถหลายๆคันเปิดไฟตัดหมอกพร้อมกับไฟใหญ่จนกลายเป็นเรื่่องปกติ แต่รู้หรือไม่ว่า ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก ได้มีการระบุการใช้ไฟตัดหมอก สามารถใช้ได้ต่อเมื่อรถวิ่งอยู่ในสภาวะที่มีหมอก ควัน เท่านั้น

     ฉะนั้นในสภาพอากาศปกติ จำไว้เลยว่าห้ามเปิดไฟตัดหมอก โดยเฉพาะรถบางรุ่นที่มีไฟตัดหมองหลังแยงตายิ่งกว่าไฟเบรกด้วยซ้ำ เพราะมันจะทำลายทัศนวิสัยของผู้ใช้รถคันหลังที่ขับตามมา จนอาจเป็นที่มาของอุบัติเหตุได้ ดังนั้น ควรเลือกเวลาใช้ไฟตัดหมอกเฉพาะเวลาจำเป็นเท่านั้น

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook