“รถเต่า” 80 ปีแห่งความคลาสสิค

“รถเต่า” 80 ปีแห่งความคลาสสิค

“รถเต่า” 80 ปีแห่งความคลาสสิค
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     ถือเป็นข่าวใหญ่ในวงการยานยนต์โลก เมื่อ โฟล์คสวาเกน ค่ายรถชั้นนำของประเทศเยอรมนี ประกาศเตรียมยุติการผลิต “บีเทิล” หรือ “โฟล์คเต่า” ในช่วงกลางปีหน้า Tonkit360 ขอย้อนกลับไปดูความคลาสสิคของรถรุ่นนี้ว่าตลอด 80 ปีที่ผ่านมา มีรุ่นไหนครองใจผู้ใช้รถกันบ้าง

207

รุ่นบุกเบิก “โฟล์คสวาเกน ไทป์ 1”

     จุดเริ่มของรถโฟล์คเต่า เกิดขึ้นจากแนวคิดของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำนาซีที่ต้องการสร้างรถยนต์ราคาถูกให้ประชาชนชาวเยอรมันได้ใช้ประโยชน์ จึงสั่งให้ตำนานวิศวกรด้านรถยนต์อย่าง เฟอร์ดินานด์ ปอร์เช่ เป็นผู้ออกแบบตั้งแต่ในยุคปี 1930 ก่อนที่สุดท้ายรถเต่าเวอร์ชั่นแรกจะผลิตออกขายในปี 1938 ภายใต้ชื่อรุ่นในตอนนั้นคือ “โฟล์คสวาเกน ไทป์ 1”

201

โฟล์คสวาเกน ไทป์ 1

 

     โดยยุคเริ่มแรก รถยนต์ขนานเล็กนามว่า “โฟล์คสวาเกน ไทป์ 1” ใช้เครื่องยนต์ 1,000 ซีซี วางอยู่ด้านหลัง ให้กำลังสูงสุด 22 แรงม้า และทำความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีราคาขายคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 4,300 บาท

 

ปี 1957 รุ่นสุดท้ายของ “จอไข่”

     หนึ่งในรถเต่ารุ่นที่คนไทยให้ความนิยมคือรุ่นที่เรียกกันว่า “จอไข่” ซึ่งรถรุ่นนี้ผลิตจากโรงงานล็อตสุดท้ายในปี 1957 โดยเหตุผลที่เรียกกันว่าจอไข่นั้น ก็มาจากกระจกหลังที่กลมคล้ายไข่ไก่ ซึ่งในปัจจุบันถือเป็นรุ่นหายาก และเป็นที่ต้องการของ นักสะสมหลายคน

202

รถเต่า “จอไข่” อีกหนึ่งรุ่นยอดฮิต

 

     โดยทีมงาน Tonkit360 ได้เข้าไปสำรวจราคาขายของ โฟล์คเต่า รุ่นดังกล่าวในตลาดรถมือสอง ปรากฏว่า สนนราคาขายอยู่ที่สภาพรถ เริ่มต้นจากระดับ 500,000 บาท ไปจนถึง 900,000 บาทปลายเลยทีเดียว

 

ปี 1968 ใช้ชื่อ “บีเทิล” อย่างเป็นทางการ

     แม้จะเป็นรถขนาดเล็ก แต่ด้วยรูปโฉมที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ความนิยมของโฟล์คสวาเกนรุ่นดังกล่าวพุ่งสูงขึ้นในยุโรป โดยในปี 1968 ถือเป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงทั้งเครื่องเครื่องยนต์ จาก 1,000 ซีซี ขยับขึ้นมาเป็น 1,500 ซีซี และมีกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 54 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

203

เริ่มใช้ชื่อ “บีเทิล” อย่างเป็นทางการในปี 1968

 

     นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มเข้าไป ทั้งที่พักแขนบนประตูฝั่งคนขับ, ระบบที่ปัดน้ำฝนแบบ 2 ระดับความเร็ว, สัญญาณไฟถอยหลัง, กระจกมองหลังฝั่งคนขับ และเครื่องปรับอากาศระบบใหม่ ที่สำคัญยังนับเป็นการเริ่มใช้ชื่อว่า “บีเทิล” อย่างเป็นทางการอีกด้วย

 

ปี 1998 เปิดตัว “นิว บีเทิล”

     60 ปี นับจาก “โฟล์คสวาเกน ไทป์ 1” เผยโฉมครั้งแรก โฟล์คสวาเกน เปิดตัว “นิว บีเทิล” รถเต่าเวอร์ชั่นโมเดิร์นในปี 1998 โดยทั้งภายในและนอกของรถเต่าเวอร์ชั่นใหม่นี้ ยังคงเอกลักษณ์ของรถเต่าจากเมื่อ 60 ปีที่แล้วเอาไว้อย่างเหนียวแน่น แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน คือ การนำเครื่องยนต์มาวางไว้ด้านหน้า

204

นิว บีเทิล เวอร์ชั่นแรก

 

     อย่างไรก็ดี การตั้งราคาและภาพลักษณ์ของบีเทิลใหม่นี้ กลายเป็นรถในระดับที่มีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับบีเทิลรุ่นเดิม จากรถของประชาชนตามดำริของฮิตเลอร์ กลายเป็นรถของเศรษฐี โดยเฉพาะในเมืองไทย ที่ระดับราคาอยู่ที่ 1 ล้านบาทปลาย ๆ ไปจนถึง 2 ล้านบาทเลยทีเดียว ส่วนเรื่องความนิยมและความคลาสสิค ต้องยอมรับว่า เทียบรถเต่ารุ่นเดิมไม่ได้

 

ปี 2003 “บีเทิล” คันสุดท้ายที่เม็กซิโก

     แม้ “นิว บีเทิล” จะเปิดตัวทำตลาดในปี 1998 แต่เม็กซิโก เป็นประเทศเดียวที่โรงงานโฟล์คสวาเกนยังผลิตรถโมเดลเก่าออกขาย โดยในปี 2003 เป็นปีที่ “บีเทิล” คันสุดท้ายถูกผลิตจากโรงงาน ส่งผลให้ “บีเทิล” ทำยอดรวมในการผลิตและจำหน่ายทั่วโลกตั้งแต่ปี 1938 รวมทั้งสิ้น 21 ล้านคัน

205

บีเทิลคันที่ 21,529,464 ของโลก

 

ปี 2019 ปิดตำนานรถเต่าด้วยรุ่น “Final Edition”

     ข่าวฮือฮาสะเทือนวงการรถเต่าคือการที่ โฟล์คสวาเกน เตรียมหยุดสายการผลิตรถรุ่นนี้ และจะทิ้งทวนรถในตระกูลบีเทิล ด้วยการผลิต “นิว บีเทิล Final Edition” ในปี 2019 โดยรถรุ่นดังกล่าว จะมีทั้งรุ่นเปิดประทุนและหลังคาแบบปกติ รวมถึงมีสีให้เลือกเพียงแค่ “สีฟ้า” กับ “สีเบจ” เท่านั้น

206

รถเต่ารุ่นปิดตำนาน

 

     ส่วนขุมกำลังจะเป็นเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี 174 แรงม้า ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ซึ่งทางโฟล์คสวาเกนระบุว่า จะเป็นการปิดตำนานรถเต่าอย่างเป็นทางการ และหลังจากนี้บริษัทจะเดินหน้าพัฒนารถพลังงานไฟฟ้าต่อไป

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook