ขับ Ford Everest ตะลุยเขาใหญ่ ผ่าหุบเขาเข้าสู่เส้นทางที่สวยที่สุด

ขับ Ford Everest ตะลุยเขาใหญ่ ผ่าหุบเขาเข้าสู่เส้นทางที่สวยที่สุด

ขับ Ford Everest ตะลุยเขาใหญ่ ผ่าหุบเขาเข้าสู่เส้นทางที่สวยที่สุด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทันทีที่ได้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ รุ่นปี 2018 มาอยู่ในมือ พิกัดการเที่ยวแบบวันเดย์ทริปของพวกเราครั้งนี้ก็มุ่งหน้าไปที่เขาใหญ่แบบทันที โดยเส้นทางที่ถูกปักหมุดเลือกให้เป็นถนนหลักคือวิ่งตรงออกจากกรุงเทพเข้าสู่นครนายก เบี่ยงเข้าตัวเมืองปราจีนบุรีขับตรงจนถึงด่านตรวจเนินหอมของเขาใหญ่ จากจุดนี้ถนนจะเริ่มเข้าสู่ป่า ไต่ขึ้นที่สูงสลับลงเนิน และเผชิญกับทางคดเคี้ยวเป็นระยะ ทำให้ไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไหร่ แต่เมื่อมีขุมพลังคันนี้อยู่ในมือ มันก็ต้องลองของกันหน่อย และที่สำคัญเส้นนี้มีอุโมงค์ต้นไม้แบบยาวๆ จนทำให้ถูกขนานว่าเป็นทางที่สวยที่สุดทางหนึ่งในประเทศ

หลังจากยิงตรงแบบยาวๆ จากกรุงเทพถึงปราจีน สิ่งที่สัมผัสได้ทันทีกับฟอร์ด เอเวอเรสต์ คันนี้คือเครื่องยนต์สามารถกระจายแรงบิดได้ดีขึ้น ประสิทธิภาพในการส่งกำลังและทำความเร็วครบถ้วนไม่มีกระตุกหรือทำให้รู้สึกอืด แม้จะในช่วงที่ไต่ขึ้นเขาหรือลงทางลาดชันก็ตาม  ซึ่งนี่นับเป็นความเจ๋งของเครื่องยนต์ใหม่ ดีเซล 2.0 ลิตร Bi-Turbo ที่มาคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10สปีด ที่ทางฟอร์ดระบุว่าเป็นหัวใจสำคัญของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ปี 2018 ที่ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้สมบูรณ์แบบจริงๆ เพราะให้ทั้งความคล่องตัวขณะขับในเมือง และยังให้ความสมบุกสมบันสำหรับสายลุย

เมื่อได้ของดีมาอยู่ในมือก็ต้องลองกันให้สนุก! ในฐานะของคนที่ได้ลองขับจริงๆ ขอการันตีเลยว่าคันนี้คือตัวจริง เร่งแล้วพุ่งทันทีแบบไม่ต้องรอ ด้วยความที่มีเทอร์โบชาร์เจอร์สำหรับช่วยเร่งการตอบสนองของคันเร่ง พร้อมลดช่วงการรอรอบโดยเฉพาะ ก่อนจะส่งต่อไปยังเทอร์โบชาร์จเจอร์ตัวที่สอง ซึ่งจะรับหน้าที่เพิ่มกำลังและความเรียบลื่นให้เครื่องยนต์ขณะใช้ความเร็วสูง ทำให้ใช้เวลาไม่นาน พวกเราก็ขึ้นมาถึงจุดเช็คอินแรกของเขาใหญ่กับบริเวณอ่างเก็บน้ำภายในอุทยาน โดยทุกครั้งที่มีโอกาสมาเขาใหญ่ ผมมักจะหยุดอยู่ตรงนี้นานที่สุด ด้วยความรู้สึกชอบส่วนตัวและคิดว่ามุมนี้เป็นจุดที่วิว และองค์ประกอบหลายอย่างมันลงตัวเหลือเกินสำหรับนั่งพัก ทั้งลมเย็น  มีเสียงน้ำไหลเอื่อยๆ คลอไปกับเสียงนกร้อง ซึ่งมันมักจะมีนกแปลกๆ บินผ่านให้เห็นอยู่บ่อยๆ ด้วย

จุดหมายถัดไปของพวกเราคือการไปตามล่ารอยกระทิง และตะลุยเข้าไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผากระดาษ ซึ่งบอกเลยว่าถ้าไม่มีฟอร์ด เอเวอเรสต์คันนี้ไปไม่ได้! เพราะเส้นทางที่จะเข้าไปค่อนข้างโหดต้องใช้รถที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น

และฟอรด์ เอเวอเรสต์ก็ไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง ทั้งพาเราไปเจอร่องรอยของกระทิงอย่างที่อยากเห็น และถึงแม้ว่าทางไปผากระดาษจะเป็นทางโคลน เพราะเพิ่งเจอฝนกระหน่ำ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคพากันลุยไปได้แบบสบายๆ

การเดินทางตะลุยเขาใหญ่ครั้งนี้ บอกเลยว่าสนุกและประทับใจมาก ส่วนหนึ่งก็ต้องยกความดีให้กับฟอร์ด เอเวอเรสต์ ปี 2018 ที่พาพวกเราไปได้ในทุกเส้นทางแบบมั่นใจได้ว่าปลอดภัยแน่นอน เพราะมี “เทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อัจฉริยะ” ทั้งระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนนที่จะทำงานร่วมกับกล้องด้านหน้ารถในการตรวจจับวัตถุด้านหน้า ก่อนจะแจ้งเตือนผู้ขับขี่ในรูปแบบของเสียงและข้อความ และทันทีที่ระบบประเมินว่าอาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้น เบรกฉุกเฉินจะทำงานทันที นอกจากนี้ยังมีระบบเตือนกันชนด้านหน้า  ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางการขับขี่  ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ ระบบเปิดปิดไฟสูงอัจฉริยะ และระบบแจ้งเตือนการขับขี่ เรียกว่าทั้งหมดนี้มันให้อารมณ์เหมือนกับเรามีผู้ช่วยเจ๋งๆ นั่งประกบอยู่ด้วยทำให้มั่นใจได้ว่าทุกการขับขี่ไม่ใช่แค่สนุกอย่างเดียว แต่ยังปลอดภัยด้วยแน่นอน

อีกเรื่องที่เราชอบมากก็คือ “ระบบตรวจจับรถในจุดบอดและตรวจจับรถขณะออกจากซอง”  ฟอร์ด เอเวอร์เรสต์ รุ่นนี้เหมือนกับติดตั้งตาคู่ที่สองมาให้ เพราะในระหว่างการขับขี่ที่เราคิดจะเปลี่ยนช่องทาง สัญญาณไฟจะแสดงขึ้นบนกระจกมองข้างทันทีที่ตรวจเจอรถอยู่ในจุดที่เรามองไม่เห็น แถมยังจะทำการเตือน ถ้ามีรถวิ่งผ่านด้านหลังขณะกำลังถอยรถออกจากช่องจอด

หลังจากที่บุกป่าผ่าเขากันมาทั้งวัน มื้อเย็นพวกเราก็ขอให้รางวัลตัวเองกับสเต็กจานใหญ่ที่ Midwinter Green ซึ่งมั่นใจได้ในเรื่องความอร่อย เพราะที่นี่คือมือหนึ่งซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องนี้โดยเฉพาะ

จากนั้นก็ยิงยาวขับตรงกลับกรุงเทพแบบที่ไม่ต้องเติมน้ำมันซ้ำเป็นการการันตีได้อย่างดีว่าฟอร์ด เอเวอเรสต์ 2018 คันนี้ประหยัดน้ำมันจริงๆ อย่างที่เขาบอกว่าอัตราสิ้นเปลืองจะอยู่ที่ 13.2 กิโลเมตรต่อลิตรเท่านั้น

ส่วนตัวนอกเหนือจากสมรรถนะความลุยที่ฟอร์ด เอเวอเรสต์จัดให้แบบเต็มๆ แล้ว ผมยังชอบฟังก์ชั่นอื่นที่เสริมเข้ามาเพื่อทำให้ชีวิตสบายขึ้น โดยเฉพาะระบบเปิดปิดฝาท้ายด้วยระบบไฟฟ้า เพราะไม่จำเป็นต้องใช้มือแค่ยื่นเท้าเข้าไปที่ใต้กันชนท้ายเท่านั้น ประตูก็จะเปิดอัตโนมัติ

รวมถึงระบบตรวจจับลมยางที่ทำหน้าที่คอยตรวจวัดความดันลมในยางทั้ง 4 ล้อ และจะทำการเตือนเมื่อความดันเปลี่ยนแปลง ระบบนี้นอกจากจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการใช้น้ำมันแล้ว ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย และยืดอายุการใช้งานของยางอีกด้วย

ส่วนสายเทคโนโลยีก็น่าจะสนุกกับระบบ SYNC3 ที่รองรับทั้ง Apple Car Play และ Android Auto มีระบบแผนที่นำทางด้วยดาวเทียมที่ติดตั้งมาพร้อมกับรถ ซึ่งตรงนี้พวกเราก็ได้ทดลองนำทางไปเขาใหญ่และเล้นกับพิกัดต่างๆ ภายในพื้นที่อุทยานบอกได้เลยว่าแม่นยำมาก ที่สำคัญมีระบบสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยมาด้วยเพื่อการใช้งานที่ง่ายขึ้น

สำหรับ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ปี 2018 ราคาเริ่มต้นเพียง 1,299,000 บาท ซึ่งโดยส่วนตัวเราถือว่าเป็นราคาที่เปิดออกมาได้อย่างน่าสนใจ คุ้มค่ากับการลงทุน เพราะไม่ว่าจะเป็นสายลุยที่เน้นทางแบบโหดๆ ต้องใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเข้าช่วย หรือจะเป็นคนนิยมแบก นั่นนู่นนี่ต้องเอาไปให้ครบหรือจัดให้เกินไว้ก่อน คันนี้ก็บรรทุกได้หมด รวมถึงคนที่ใช้ชีวิตในเมืองเป็นหลัก คันนี้ก็ตอบโจทย์ได้ในเรื่องของความปราดเปรียว

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ford.co.th/suvs/everest/

(Advertorial)

               

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook