Plug-in Hybrid รถรักษ์โลก ราคาเกินเอื้อม
ในยุคที่ฝุ่นพิษส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง รถยนต์พลังงานทางเลือกกลับมาอยู่ในจุดสนใจอีกครั้ง เนื่องจากจุดเด่นอยู่ที่การปล่อยมลพิษในระดับต่ำ รวมถึงเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา มีการลดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์เหลือเพียงแค่ 5 เปอร์เซนต์ สำหรับรถ Plug-in Hybrid ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร
อย่างไรก็ดีหากสำรวจในตลาดรถยนต์ ณ ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า รถที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ที่มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร และตรงตามเงื่อนไขของกระทรวงการคลังมีเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น และแต่ละรุ่นก็เป็นรถแบรนด์หรูที่คนทั่วไปยากจะเอื้อมถึง
กลุ่มรถ Hybrid เครื่องยนต์ไม่เกิน 3,000 ซีซี อัตราสรรพสามิตรเหลือ 5 เปอร์เซนต์
ฟังดูเหมือนเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ และดึงดูดผู้ซื้อให้เข้าโชว์รูมเพื่อถอยรถป้ายแดงออกมาขับเสียเหลือเกิน ทว่าหากดูในความเป็นจริงนี้ รถยนต์ที่เข้าข่ายเกือบทั้งหมดเป็นรถยนต์นั่งระดับ D-Segment ขึ้นไป ไปจนถึงรถยนต์แบรดน์หรูฝั่งยุโรป
ซึ่งรถรุ่นที่เข้าข่ายและคนไทยสามารถจับต้องได้มากที่สุดคือ ฮอนด้า Accord Hybrid ที่ค่ายผู้ผลิตการันตีว่าปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 99 กรัมต่อกิโลเมตร สนนราคาตั้งแต่ 1.6 ไปจนถึง 1.8 ล้านบาท นอกจากนั้นก็จะขยับขึ้นไปเป็นรถ Plug-in Hybrid ค่ายยุโรปอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์
BMW 330e
โดย เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่นที่ถูกที่สุดคือ C 350e ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2.6 ล้านบาท การันตีตัวเลขการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่ที่ 62 กรัมต่อกิโลเมตร ขณะที่ค่ายคู่แข่งจากชาติเดียวกันอย่างบีเอ็มดีเบิลยู 330e ที่มีการทดสอบตัวเลขการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่ที่ 42 กรัมต่อกิโลเมตร ราคาเริ่มต้นก็อยู่ในระดับเดียวกันคือ 2.59 ล้านบาท
กลุ่มรถพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (EV) อัตราสรรพสามิตรเหลือ 2 เปอร์เซนต์
นี่คืออัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ที่ต่ำที่สุดในบรรดารถยนต์ทุกประเภทในเมืองไทย แต่นั้นหมายความว่าจะต้องเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแบบเต็มกำลัง ไม่มีเครื่องยนต์และการเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิงอันทำให้เกิดมลพิษเข้ามาเกี่ยวข้อง ทว่าปัญหาสำคัญคือรถยนต์ประเภทนี้ในบ้านเรายังเป็ยเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
Tesla Model S
รถที่เข้าข่ายภาษี 2 เปอร์เซนต์นี้ ณ ปัจจุบัน มีเพียง เทสล่า Model S ที่มีเข้ามาในเมืองไทยไม่ถึง 10 คัน ซึ่งหากใครอยากเป็นเจ้าของ สนนราคาคันละประมาณ 6 ล้านบาท ส่วนอีก 1 รุ่น ได้แก่ นิสสัน Leaf รถยนต์เจ้าของรางวัลยอดเยี่ยมแห่งปีในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม ที่เปิดตัวในเมืองไทยไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ราคาคันละ 1.9 ล้านบาท
เหตุผลที่ทำให้รถ Plug-in Hybrid และรถไฟฟ้าราคาแพง
หัวใจสำคัญของรถยนต์พลังงานทางเลือกคือพลังงานอันมหาศาลจากแบตเตอรี่ ลิเทียม-ไอออน ที่ราคาต้นทุนในปัจจุบันถือว่ายังสูงอยู่มาก เฉพาะราคาแบตเตอรีของรถบางรุ่นสูงถึง 5-6 แสนบาท ประกอบกับเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ที่ในปัจจุบัน ยังถือเป็นยุคเริ่มต้น จึงทำให้ราคาขายแตะหลัก 2 ล้านบาทต่อคันแทบทั้งสิ้น
นอกจากนี้แม้รัฐบาลจะออกมาตรการลดภาษีสรรพสามิตรรถยนต์ลงครึ่งหนึ่ง แต่ท่าทีของรัฐบาลเองก็ไม่ได้มีนโยบายอย่างจริงจังที่จะรณรงค์ให้คนไทยซื้อรถยนต์พลังงานทางเลือก เพียงแต่โยนความรับผิดชอบไปให้ค่ายรถยนต์แข่งขันกันเอง อย่างไรก็ดีประเด็นสำคัญที่สุดตอนนี้ คือไทยเราสามารถตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วน อาทิ แบตเตอรี เองได้ ก็เชื่อว่าราคารารถยนต์ Plug-in Hybrid จะถูกลงอย่างแน่นอนภายใน 4-5 ปีนี้