เทียบกันให้เห็นชัดๆ ฟังก์ชั่นเหนือชั้นในรถ SUV จาก 4 แบรนด์ท็อป คันไหนที่ใช่ที่สุดสำหรับคุณ
ขอเทียบกันให้เห็นชัดๆ ไปเลยว่ารถ SUV 4 แบรนด์ท็อป ไล่เรียงไปตั้งแต่ Ford Everest, Mitsubishi Pajero, Toyota Fortuner และ Isuzu MU-X แต่ละแบรนด์มีดีที่ตรงไหนเพื่อประกอบการตัดสินใจสำหรับคนที่กำลังเล็งรถยนต์ SUV มาไว้ใช้ในชีวิตประจำวันให้คุณได้คันที่ใช่ที่สุด คุ้มค่าที่สุด และสามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ได้ตรงโจทย์ที่สุดมาไว้ในครอบครอง
ก่อนจะเจาะลึกในรายละเอียดขออธิบายเรื่องรถยนต์ SUV (Sport Utility Vehicle) ให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า รถยนต์ประเภทนี้เป็นรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งบนท้องถนนทั่วไปกับความนุ่มนวลและการยึดเกาะถนนไม่ต่างจากรถเก๋ง รวมถึงเอาไปขับลุยในทางขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อด้วยสมรรถนะที่เทียบเท่ากับรถกระบะ ซึ่งด้วยความที่เพียบพร้อมครบถ้วนในทุกด้านส่งผลให้รถยนต์ SUV จึงขึ้นแท่นเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คนซื้อรถยุคนี้ตามหามากที่สุด
และนี่คือ SUV 4 แบรนด์ท็อปที่ SANOOK ขอเทียบให้เห็นกันชัดๆ ไปเลยว่าแต่ละรุ่นมีดีที่ตรงไหน
1.Ford Everest
Ford Everest 2.0L Turbo Titanium 4x2 10AT – SPORT โปรโมชั่นพิเศษช่วงเดือนเมษายนอัตราดอกเบี้ย 0 % ดาวน์ 30% ผ่อนนาน 48 เดือน พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Ford Ensure
Everest 2.0L Turbo Titanium 4x2 10AT – SPORT เปิดตัวมาแบบอัดแน่นครบทุกเรื่อง ตั้งแต่เทคโนโลยีอัจฉริยะที่ช่วยเรื่องการขับขี่ ระบบความปลอดภัย ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร รวมถึงระบบเครื่องยนต์ที่ให้พลังขับเคลื่อนได้ดียิ่งขึ้น แต่ประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิม
จุดเด่นเรื่องเครื่องยนต์
Ford Everest 2.0L Turbo Titanium 4x2 10AT – SPORT มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว เทอร์โบชาร์จเจอร์พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ช่วยเพิ่มแรงบิด การตอบสนอง และพลังขับเคลื่อนได้ดียิ่งขึ้น แต่ลดเสียงเครื่องยนต์ให้เบาลง และประหยัดน้ำมันมากขึ้น ดังนั้นไม่ว่าจะใช้ในชีวิตประจำวัน หรือจะขยับขยายไปสู่การเดินทางสายลุยคันนี้ตอบโจทย์ได้แบบครบเครื่อง
จุดเด่นด้านความสะดวกสบาย
ตรงนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องขอเทคะแนนให้เต็มสิบ เพราะมาพร้อมกับความสะดวกสบายแบบ 7 ที่นั่ง และที่สำคัญเบาะแถว 2 และแถว 3 สามารถพับได้แบนราบ เพื่อเพิ่มพื่นที่ในการบรรทุกสัมภาระได้มากขึ้น
นอกจากนี้ห้องโดยสารภายในยังมาพร้อมกับระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา ระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลังแบบปรับอุณหภูมิแยกได้
ส่วนระบบเครื่องเสียงก็รองรับทั้ง Apple Carplay และ Android Auto เหนือกว่าด้วยระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 3 เป็นภาษาไทย พร้อมการเชื่อมต่อ Bluetooth จึงสะดวกมากทั้งการโทรออก เล่นเพลง อ่านข้อความ ยิ่งใครชอบใช้ SIRI ทำโน่นทำนี่ยิ่งสบายตัวกว่าเดิม เพราะทำงานเชื่อมต่อกันแบบ SIRI Seamless Integration หรือถ้าจะค้นหาเส้นทางยิ่งไม่ต้องกลัวหลง สามารถใช้ระบบระบบนำทาง google Navigation ผ่านมือถือ ซึ้งจะแสดงแผนที่แบบ 3D บอกชื่อถนนและสถานที่เป็นภาษาไทย มองเห็นได้ชัดเจนผ่านหน้าจอ Multi-Touch ขนาด 8 นิ้ว พร้อมระบบเสียงนำทางภาษาไทยที่พร้อมจะเป็นผู้ช่วยที่ดีตลอดเส้นทาง
ความสะดวกสบายยังต่อเนื่องไปถึงระบบประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี แค่แกว่งขวาไปที่เซ็นเซอร์ท้ายรถ ประตูท้ายรถก็จะเปิดขึ้นหรือปิดลงแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น จะหอบของพะรุงพะรังเต็มมือแค่ไหนก็ไม่ต้องทุลักทุเลกับการเปิด-ปิดประตูท้ายอีกต่อไป
จุดเด่นด้านเทคโนโลยี
เทคโนโลยียานยนต์ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ถูกหยิบยกมาประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อรถมากขึ้น เพราะเทคโนโลยียุคนี้ไม่ได้แค่อำนวยความสะดวกอย่างเดียว ทว่ายังมาพร้อมกับการตอบสนองความสบายในการขับขี่ที่ทำให้ชีวิตปลอดภัยมากขึ้น ซึ่ง Ford Everest 2.0L Turbo Titanium 4x2 10AT – SPORT ถือว่าทำการบ้านมาอย่างดี มีทุกอย่างครบถ้วนที่คนขับรถยุคนี้ต้องการ
แถมยังสะดวกด้วยกล้องมองหลังขณะถอยจอด แม้ตัวรถจะอยู่สูงจากพื้นถนน แต่กล้องมองหลังของ Ford Everest ก็มอบวิสัยทัศน์ที่กว้างและชัดเจนให้คุณถอยจอดได้สะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น มองเห็นทุกรายละเอียดชัดแจ๋วผ่านหน้าจอ พร้อมเสียงเตือนจากเซ็นเซอร์ช่วยจอด กรณีที่พบสิ่งกีดขวางอยู่ด้านหลังรถ
มีถุงลมนิรภัย 7 จุด ได้แก่ บริเวณที่นั่งคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมถุงลมนิรภัยเพื่อปกป้องเข่าของผู้ขับขี่ นอกจากนี้ ยังมีถุงลมนิรภัยด้านข้างที่ติดมากับที่นั่ง รวมถึงม่านถุงลมนิรภัยเพื่อปกป้องผู้โดยสารทั้งในแถวหน้าและแถวหลัง
2. Mitsubishi Pajero
Mitsubishi Pajero Sport 2020 ราคาเริ่มต้นที่ 1,299,000 บาท
เชื่อแน่ว่าสาย SUV ต้องยก Mitsubishi Pajero ขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งตัวเทียบที่น่าสนใจ ยิ่งล่าสุด Mitsubishi Pajero มีการปรับเปลี่ยนไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ ครบทั้งภายนอก ภายใน และรูปทรงไฟท้ายที่เคยขัดใจใครหลายคนให้ดูลงตัวยิ่งขึ้น
จุดเด่นเรื่องการขับขี่
Mitsubishi Pajero Sport 2020 เปิดตัวมาพร้อมกับระบบ “Super Select 4WD II” ทำให้สามารถเลือกใช้งานได้หลากหลายทั้ง 2H / 4H / 4HLc / 4HLLc พร้อมกับปรับโหมดการขับขี่ได้มากถึง 4 ฟังก์ชั่นคือ GRAVEL, MUD/SNOW, SAND และ ROCK
ส่วนตัวเครื่องยนต์มาพร้อมกับตัวท็อปสุดในรุ่นรหัส 4N15 แบบดีเซล คอมมอนแรล 4 สูบเรียง ความจุ 2,442 ซีซี ระบบวาล์วแปรผัน MIVEC แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิด 430 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบต่อนาที กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ Sport Mode และ Paddle shift ที่มีขนาดใหญ่มาก
จุดเด่นเรื่องเทคโนโลยี
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องเด็ดของ Mitsubishi Pajero Sport 2020 เพราะมาพร้อมกับเทคโนโลยีเรื่องการขับขี่แบบครบครัน เริ่มตั้งแต่ Forward Collision Mitigation Systemระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ระบบจะทำงานโดยใช้เรดาร์ประเมินระยะห่างจากรถคันหน้า หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะชนรถคันหน้าในช่องทางเดียวกัน ระบบจะทำการเตือนและช่วยชะลอความเร็ว พร้อมเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกเพื่อให้ประสิทธิภาพในการเบรกที่ดียิ่งขึ้น และบรรเทาความเสียหายจากการชน
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถลจะช่วยควบคุมการหมุนของล้อทั้ง 4 อย่างสมดุลในสภาวะถนนลื่น ขรุขระ หรือทางชัน เพื่อไม่ให้รถสูญเสียการยึดเกาะถนน
Ultrasonic Misacceleration Mitigation System ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบทำงานโดยใช้คลื่น Ultrasonic ตรวจจับวัตถุด้านหน้าหรือด้านหลังในระยะไม่เกิน 4 เมตร ในขณะที่เกียร์อยู่ตำแหน่ง "D" หรือ "R" หากมีการเหยียบคันเร่งผิดพลาดอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบจะทำการตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะอัตโนมัติ และทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 10 กม./ชม. เพื่อช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการชน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของระบบเบรกมืออัตโนมัติที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งถือว่าดีมากสำหรับการขับขี่ในเมือง เพราะไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์หรือเหยียบเบรกค้าง รวมถึงระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา พร้อมระบบส่งสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน ทำงานโดยเรดาร์ที่ติดตั้งบริเวณกันชนหลังตรวจจับรถคันหลังที่วิ่งอยู่ในช่องจราจรถัดไป
3. Toyota Fortuner
Toyota Fortuner TRD sportivo 4WD AT ราคาเริ่มต้นที่ 1,769,000 บาท
ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้สำหรับหนึ่งตัวท็อปของ SUV ในยุคนี้กับ Toyota Fortuner TRD sportivo 4WD AT ลองมาเจาะลึกดูกันดีกว่า รุ่นนี้มีดีที่ตรงไหน
จุดเด่นเรื่องการขับขี่
ขุมพลังของ Toyota Fortuner TRD sportivo 4WD AT ให้เลือกเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อซิกม่าโฟร์ มาพร้อมช่วงล่าง TRD Sportivo และดิสก์เบรก 4 ล้อ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งถือว่าครบถ้วนสำหรับการขับขี่ขั้นพื้นฐาน
จุดเด่นเรื่องรูปทรง
Toyota Fortuner TRD sportive ตกแต่งเพิ่มความสปอร์ตด้วยชุดแต่ง TRD sportivo ไล่เรียงความโดดเด่นตั้งแต่ กันชนหน้าดีไซน์สปอร์ต และกระจังหน้าสีดำเมทัลลิกมาพร้อมสเกิร์ตหน้า และกรอบไฟตัดหมอกดีไซน์ใหม่ ด้านข้างตัวถังเด่นสุดต้องยกให้กับล้ออัลลอย TRD ลายสวยสีทูโทนขนาด 20 นิ้ว เมื่อเปิดประตูยังมองเห็นสคัฟเพลท พร้อมไฟเรืองแสงสัญลักษณ์ TRD ตกแต่งบริเวณชายประตู เพิ่มความสปอร์ตแพรวพราว ขณะที่ด้านท้ายเพิ่มความสปอร์ตด้วยสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ ติดตั้งแนบชายหลังคา และบริเวณกันชนท้ายแต่งทรงสปอร์ต มองต่ำลงมาจะเห็นท่อไอเสียสแตนเลส ดีไซน์สปอร์ตประดับสัญลักษณ์ TRD sportive
ส่วนเรื่องของระบบความปลอดภัย ฟอร์จูนเนอร์คันนี้ มีทั้งแบบ Active Safety และ Passive Safety ตั้งแต่โครงสร้างตัวถังที่พัฒนาให้ดียิ่งขึ้น แต่ที่เด่นสุดคือระบบโครงสร้างนิรภัยแบบ GOA ซึ่งจะเข้ามาช่วยดูดซับแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ พร้อมกับเสริมความแข็งแกร่งให้บริเวณห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยต่างๆ ที่ให้เสริมเข้ามาอีกหลายอย่าง เช่น ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบควบคุมการทรงตัว ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ
จุดเด่นเรื่องความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร
ส่วนในห้องโดยสารก็ถือว่าสะดวกสบาย ทั้งเรื่องของเบาะนั่งคู่หน้าที่ปรับไฟฟ้าได้มากถึง 8 ทิศทาง พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง มีระบบ Push Start มี Smart Energy ช่วยประหยัดพลังงาน มีโหมดการขับขี่ที่เลือกให้เป็น PWR ได้ และยังมีโหมด ECO ที่ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมไปในตัว
จุดเด่นเรื่องเทคโนโลยี
สำหรับเรื่องเทคโนโลยีใน Toyota Fortuner TRD sportive ขอยกให้กับ T-Connect Telematics เป็นการเชื่อมต่อรถยนต์เข้ากับสมาร์ทโฟน ซึ่งความเจ๋งมันอยู่ตรงที่ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน ขอแค่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันสำเร็จ คุณก็จะรู้ทุกการเคลื่อนไหวของรถ ไม่ว่าจะเป็นฟังค์ชั่น Find My Car ชี้พิกัดให้เดินทางกลับไปหารถที่จอดอยู่ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วแบบไม่มีหลง หรือ Parking Alert ที่จะแจ้งเตือนทันทีเมื่อรถถูกเคลื่อนที่โดยการสตาร์ทหรือการลากที่ระยะ 100 เมตรขึ้นไป
4. Isuzu MU-X
Isuzu MU-X The New ONYX 2020 ราคาเริ่มต้นที่ 1,364,000 บาท
Isuzu MU-X มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “สัมผัสที่ใช่...ของการใช้ชีวิต” เพื่อตอบโจทย์คนชอบ SUV แบบครบถ้วนในทุกด้าน
จุดเด่นเรื่องดีไซน์
โฉมนอกมาในดีไซน์ The Absolute ONYX Edition รอบคัน ตกแต่งด้วยกันชนหน้าและกันชนหลังแนวสปอร์ต มาพร้อม กระจังหน้า โคมไฟหน้า ประตูท้ายสี Black Chrome ไฟหน้า Bi-LED ไฟหลังเป็น LED รมดำ ล้ออัลลอย 18 นิ้วสีทูโทน และแร็คหลังคาสไตล์สปอร์ต
จุดเด่นเรื่องเครื่องยนต์
ช่วงล่าง Isuzu MU-X ONYX 2020 เป็นแบบ 5-Link Suspension ซึ่งให้เรื่องการทรงตัวและยึดเกาะติดถนน ด้านเครื่องยนต์มีให้เลือก 2 รุ่น จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติระบบ Rev Tronic 6 สปีด
- เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 9 ลิตร Ddi Blue Power 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที
- เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 0 ลิตร Ddi Blue Power 177 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที
จุดเด่นเรื่องเทคโนโลยีและความปลอดภัย
Isuzu MU-X ONYX 2020 จัดเต็มในหลายด้าน อาทิ ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลดชัน HDC, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS, ระบบระบายความร้อนดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ, ระบบป้องกันการล็อกล้อขณะเบรก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบเสริมแรงเบรกกระทันหัน BA, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว TCS, ระบบลดกำลังเครื่องยนต์ เพื่อช่วยเบรก BOS และถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
สรุป: SUV ทั้ง 4 แบรนด์ท็อป Ford Everest, Mitsubishi Pajero, Toyota Fortuner และ Isuzu MU-X ถือว่าขนเอาความครบเครื่องมาแบบจัดเต็มในทุกด้าน ดังนั้นลองพิจารณาและเลือกให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองเพื่อความคุ้มค่าอย่างสูงสุด
(Advertorial)