มอเตอร์โชว์ 2020 : 3 บิ๊กไบค์น่าจับตาแห่ง Ducati บอกเลยว่าหล่อมาก!

มอเตอร์โชว์ 2020 : 3 บิ๊กไบค์น่าจับตาแห่ง Ducati บอกเลยว่าหล่อมาก!

มอเตอร์โชว์ 2020 : 3 บิ๊กไบค์น่าจับตาแห่ง Ducati บอกเลยว่าหล่อมาก!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ใช่ว่าจะมีแต่รถยนต์หรือจักรยานยนต์รุ่นใหม่ๆ เพียงเท่านั้น โลกแห่งบิ๊กไบค์ก็เจิดจรัสในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 41 หรือ มอเตอร์โชว์ 2020 เช่นเดียวกัน ได้เวลาที่ Sanook Auto จะแนะนำบิ๊กไบค์ที่น่าสนใจเอามากๆ จำนวน 3 รุ่นแห่งค่าย Ducati (ดูคาติ) ที่มาเผยโฉมกันในงานนี้ จะมีรุ่นใด รูปลักษณ์เป็นแบบไหนบ้าง จัดกันได้เลย

Ducati Panigale V4 MY 2020

Ducati Panigale V4 MY 2020 (ดูคาติ พานิกาเล่ วีโฟร์ 2020) ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพอย่างไม่หยุดยั้ง ยกระดับความเป็นมืออาชีพในสนามแข่ง ทำให้ง่ายต่อการควบคุม และสามารถทำเวลาได้เร็วขึ้นทั้งในสนามแข่งและการใช้งานบนท้องถนน

เครื่องยนต์ Desmosedici Stradale ถูกวางทำมุมในตำแหน่ง 90 องศา เช่นเดียวกับเทคโนโลยีที่ใช้ในรถ Ducati ใน MotoGP ความจุกระบอกสูบ 1,103 ซีซี โดยมีระบบ Desmodromic Timing, Counter-rotating Crankshaff ที่หมุนตรงกันข้ามกับเครื่องยนต์ทั่วไป เพื่อลดผลกระทบจากแรงเหวี่ยงของล้อ และ “Twin Pulse” fingle order การจุดระเบิด 2 ครั้งในการหมุน 90 องศา และด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ ส่งผลให้เครื่องยนต์ Desmosedici Stradale มีพละกำลังอยู่ที่ 214 แรงม้า ที่ 13,000 รอบต่อนาที และเรียกแรงบิดสูงสุดได้ที่ 124 นิวตันเมตร ที่ 10,000 รอบต่อนาที และมาพร้อมกับล้อ Marchesini

ทางทีม Ducati และ Ducati Corse ได้ร่วมกันพัฒนารถโดยใช้ข้อมูลจากผู้ใช้รถ Ducati ทั้งการใช้งานบนท้องถนนทั่วไป และจากการแข่งขัน World Superbike จึงปรับเฟรมหน้าให้มีความแข็งแรงและมีการยืดหยุ่นที่ดี ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ต่างจาก Panigale V4 เวอร์ชั่นที่แล้ว ที่เฟรมหน้าและระบบช่วงล่างที่มีจุดศูนย์ถ่วงสูงขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดขององศาการเอียงรถในขณะเข้าโค้งเช่นเดียวกันกับ V4 R ส่งผลให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าโค้งได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น สำหรับ V4 ตัวมาตรฐานจะใช้ช็อคอับหน้า Showa ขนาดลูกสูบ 43 มิลลิเมตร และกันสะบัดจาก Sachs พร้อมทั้งช็อคอับหลัง Sachs โดยทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สามารถปรับระดับแรงกดสปริง, ความแข็งและความหนืดได้เช่นเดียวกัน และในเวอร์ชั่น S จะมีระบบช่วงล่างปรับอิเล็กทรอนิกส์ Ohlins NIX-30 สำหรับช็อคอับหน้า, กันสะบัดปรับไฟฟ้า Ohlins และช็อคอับ Ohlins TTX 36 ปรับไฟฟ้าเช่นกัน ทั้งหมดทำงานร่วมกับระบบ IMU (Initial Measurement Unit) 6 แกน จึงทำให้ Ducati Panigale V4 เวอร์ชั่นนี้ สามารถควบคุมได้ง่ายขึ้นและมีการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ใน Panigale V4 เวอร์ชั่นปี 2020 เป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่มีอยู่ใน Panigale V4 R ซึ่ง Ducati ได้ทำการพัฒนาระบบอากาศพลศาสตร์บนตัวรถ มีการคำนวณแรงกดอากาศในอุโมงค์ลมโดยใช้ระบบ preliminary CFD บนคอมพิวเตอร์ในการทดสอบและออกแบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการยึดเกาะถนนและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ โดยพัฒนา New Aerodynamic package ใหม่ ดังนี้

  • แฟริ่งด้านข้างที่กว้างขึ้นและชิลด์หน้าใหม่ที่กว้างและสูงขึ้น เพื่อลดแรงลมที่มาปะทะกับผู้ขับขี่
  • ช่องอากาศที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มการไหลเวียนของอากาศผ่านระบบระบายความร้อนและออยล์คูลเลอร์ ถึง 6% หรือ 16% ตามความเร็วของรถ
  • Aerofoils หรือ Winglets บริเวณด้านหน้า เมื่อทำงานร่วมกับอากาศพลศาสตร์ของชุดแฟริ่ง จะมีแรงกดอากาศที่ล้อหน้าเพิ่มขึ้นถึง 30 กก.ที่ความเร็ว 270 กม./ชม.   

ทั้งนี้ สามารถเพิ่มสมรรถนะของ Ducati Panigale V4 MY 2020 ด้วยท่อไอเสีย Akrapovic racing exhaust system ซึ่งจะทำให้น้ำหนักรถโดยรวมลดลงถึง 6 กิโลกรัม และแรงม้าเพิ่มขึ้น 6% เป็น 226 แรงม้า ซึ่งจะทำให้อัตราส่วน แรงม้าต่อน้ำหนักรถอยู่ที่ 1.19 แรงม้าต่อ 1 กิโลกรัม

สำหรับราคา Panigale V4 เวอร์ชั่น Standard อยู่ที่ 999,000 บาท และ Panigale V4 เวอร์ชั่น S อยู่ที่ 1,249,000 บาท เริ่มส่งมอบเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป

 

Ducati Scrambler 1100 Pro

ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1,079 ซีซี 86 แรงม้า มาพร้อมระบบสมองกล ECU M4C โดย Continental และระบบเซ็นเซอร์ใหม่ “lambda sensor” รวมถึง “Map sensors” ที่ใช้ใน Panigale V4 ที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น ระบบเเทรคชั่นคอนโทรลที่จะช่วยควบคุมการสไลด์ของตัวรถในขณะเจอสภาพถนนที่เปียกลื่น หรือแม้กระทั่งขณะเพลิดเพลินอยู่ในโค้งแล้วเผลอใช้คันเร่งแรงเกินไป โดยเมื่อรถมีอาการล้อหลังเริ่มหมุนเร็วกว่าล้อหน้า ตัวรถจะตัดกำลังของเครื่องยนต์ลงเพื่อรักษาอาการรถไม่ให้เสียอาการเนื่องจากล้อหลังสไลด์ หรือแม้กระทั่งการใช้เบรกอย่างเต็มน้ำหนักขณะรถเอียงอยู่ในโค้ง ระบบ Cornering ABS ก็จะช่วยไม่ให้รถลื่นไถลจากการใช้เบรกในโค้ง ควบคุมด้วยระบบล่าสุด “IMU แบบ 6 แกน” นอกจากนี้ ยังสามารถปรับเปลี่ยน Riding Modes ได้ 3 รูปแบบ ทั้ง Active, Journey และ City ช่วยเพิ่มความมั่นใจและตอบโจทย์ได้ทุกการเดินทาง

สำหรับ Ducati Scrambler 1100 Pro มีดีไซน์สีทูโทน “Ocean Drive” ผนวกเข้ากับเฟรมสีดำและซับเฟรมหลังอลูมิเนียม มาพร้อมกับท่อไอเสียทรงใหม่ดีไซน์ออกคู่ด้านข้าง และการ์ดบังโคลนหลังที่ยึดป้ายทะเบียนด้านล่าง รวมถึงชุดโคมไฟหน้าแบบ “X-shape” อันเป็นเอกลักษณ์ ส่วน Ducati Scrambler 1100 Sport PRO มีการออกแบบที่เพิ่มเติมในหลายจุด โดยสะท้อนบุคลิกที่ดูสปอร์ตและความเป็นอิสระบนท้องถนนอย่างชัดเจน ด้วยสีดำด้านดุดัน และแฮนด์เดิลบาร์ทรงต่ำ รับกันกับกระจกส่องหลังสไตล์ “café racer” มาพร้อมกับช่วงล่างที่ประสิทธิภาพยอดเยี่ยมจากช็อคอับระดับโลกอย่าง Öhlins ทั้งด้านหน้าและหลัง ตอกย้ำความเป็นรถสปอร์ตได้อย่างชัดเจน

โดยราคาของ Ducati Scrambler 1100 PRO อยู่ที่ 559,900 บาท และราคา Ducati Scrambler Special 1100 Sport PRO อยู่ที่ 609,900 บาท เริ่มส่งมอบเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป

 

Ducati Diavel 1260 S

การผสมผสานระหว่างเอกลักษณ์ของรถ Diavel และเครื่องยนต์ Testastretta DVT 1260 (เทสตาสเทรทต้า ดีวีที หนึ่งสองหกศูนย์) ที่มีวาล์วเดสโมโดรมิกแบบแปรผัน ทำให้การตอบสนองของคันเร่งมีความนุ่มนวลสูงสุดในรอบต่ำ และให้อารมณ์การขับขี่แบบสปอร์ตในรอบสูง ทำให้การขับขี่ที่ใช้ความเร็วสูงหรือการเข้าโค้ง มีความปลอดภัยจากเทคโนโลยีอันทันสมัย ทำให้ Ducati Diavel ใหม่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์อันโดดเด่นและสุนทรียภาพในการขับขี่ไว้ได้อย่างลงตัว

สำหรับราคา Ducati Diavel 1260 S สีแดง (Ducati Red) ใหม่ อยู่ที่ 999,000 บาท เริ่มส่งมอบเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป

อัลบั้มภาพ 23 ภาพ

อัลบั้มภาพ 23 ภาพ ของ มอเตอร์โชว์ 2020 : 3 บิ๊กไบค์น่าจับตาแห่ง Ducati บอกเลยว่าหล่อมาก!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook