Mazda RX-7 : รถขวัญใจสายซิ่งรุ่นเก๋าที่ราคามือสองพุ่งเพราะ "อามุโร่" สายลับสองหน้า
"อะไรคือสาเหตุที่ทำให้รถที่มีอายุเกินกว่า 20 ปี กลับมีราคาพุ่งสูงกว่าตอนที่มันออกวางจำหน่ายครั้งแรกหลายเท่าตัว?"
แน่นอนว่าถ้าตอบตามหลักเศรษฐศาสตร์ ก็คงเป็นเพราะการที่อุปสงค์ในตลาดมีมากกว่าอุปทานหลายเท่าตัว แต่หลังจากที่ Main Stand ได้ทำบทความเกี่ยวกับรถมือสองที่ราคาพุ่งสูงไปหลายคัน ไม่ว่าจะเป็น Toyota AE86 รถคู่ใจของ ทาคุมิ ฟูจิวาระ พระเอกขาซิ่งจากมังงะเรื่อง Initial D หรือ Kawasaki Z750 (Z2) ของ โอนิซึกะ เอคิจิ คุณครูพันธุ์ดุจาก GTO ในที่สุดเราก็พบหนึ่งในคำตอบที่น่าจะถูกต้องที่สุด
การจะหาคำตอบที่ถูกต้องนั้น คงต้องย้อนกลับไปยังต้นสายปลายเหตุที่ทำให้อุปสงค์พุ่งสูงขึ้น ซึ่งนั่นคือการที่รถเหล่านั้นได้กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์ (Pop Culture) ที่ผู้คนคลั่งไคล้ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์, ซีรี่ส์, เกม, หรือแม้แต่มังงะจากแดนปลาดิบ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวละครคลาสสิคขึ้นหิ้งเหมือน ทาคุมิ หรือ โอนิซึกะ แต่บทบาทของ "โทรุ อามุโร่" จากมังงะเรื่อง ยอดนักสืบจิ๋ว โคนัน นั้นก็นับว่าเท่ไม่หยอก และน่าจะเป็นตัวละครขวัญใจใครหลายคน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Mazda RX-7 รหัสตัวถัง FD3S ของเขานั้นจะได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย
Mazda RX-7 (FD3S) มีเรื่องราวความเป็นมาอย่างไร บทบาทของมันในมังงะเรื่อง ยอดนักสืบจิ๋ว โคนัน เป็นเช่นไร รวมถึงสถานการณ์ในตลาดรถมือสองที่ค่อนข้างดุเดือดของรถรุ่นนี้ ติดตามได้ที่ Main Stand
การเดิมพันครั้งสำคัญของมาสด้า
Mazda RX-7 รหัส FD-3S นั้นถือเป็นรถในเจเนอเรชั่นที่ 3 ของซีรีส์ RX-7 ซึ่งเป็นซีรีส์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดซีรีส์หนึ่งของค่าย Mazda (มาสด้า) ก็ว่าได้ ดังนั้นก่อนที่จะไปถึงเจเนอเรชั่นที่ 3 ลองย้อนกลับไปทำความรู้จักซีรีส์ RX-7 ตั้งแต่จุดกำเนิดของมันน่าจะดีกว่า
Jose Rodriguez
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในช่วงยุคทศวรรษ 60's ถึงแม้ว่าในตอนนั้นค่ายรถยนต์ Mazda จะมีอายุมามากกว่า 40 ปีแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงต้องการพิสูจน์ตัวเองให้โลกได้รับรู้ว่าค่ายรถยนต์จาก เมืองฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่น ค่ายนี้มีศักยภาพไม่แพ้ใคร โดยสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจทำถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่มีความเสี่ยงสูง แต่ถ้าทำสำเร็จสิ่งตอบแทนจะยิ่งใหญ่มากๆ เป็นการ "High Risk High Return" ในแบบฉบับนักพนันอย่างแท้จริง
สิ่งที่ Mazda ทำคือการพยายามนำเครื่องยนต์โรตารี่ (ชื่อเครื่องยนต์ประเภทหนึ่งที่ใช้หลักการหมุนแทนที่การใช้งานลูกสูบ มีจุดเด่นกว่าเครื่องยนต์ทั่วไปในเรื่องของ ความเรียบง่าย ใช้ชิ้นส่วนน้อย, เดินเรียบ, มีขนาดกระทัดรัด แต่ให้พลังสูง ด้วยการเป็นเครื่องรอบจัด และมีอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักที่สูง) เจเนอเรชั่นใหม่ของ เฟลิกซ์ วันเคล (Felix Wankel) วิศวกรชื่อดังชาวเยอรมันผู้เป็นเจ้าของสิทธิบัตรของเครื่องยนต์ประเภทนี้มาตั้งแต่ปี 1929 ซึ่งยังไม่ผ่านการทดสอบใช้วิ่งในสนามจริงด้วยซ้ำให้มาเป็นเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์ในค่ายของพวกเขา
ไม่ใช่แค่ Mazda เท่านั้น เพราะไม่ว่าจะ Citroën ค่ายรถยนต์จากฝรั่งเศส และ NSU (ต่อมาได้กลายเป็น Audi) จากประเทศเยอรมันต่างก็หมายมั่นปั้นมือที่จะนำเครื่องยนต์ป้ายแดงรุ่นนี้นำพาพวกเขาไปสู่จุดที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วยกันทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามทั้งสองค่ายรถยุโรปนั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และต้องสูญเงินไปมากมายกับโปรเจ็คครั้งนี้
ไม่ใช่ว่าวิศวะกรของ Citroën หรือ NSU นั้นไม่มีฝีมือพอที่จะรับมือกับเครื่องยนต์โรตารี่รุ่นใหม่นี้ แต่เป็นเรื่องของการตลาดล้วนๆ เพราะถึงแม้จะมีเครื่องยนต์ทรงประสิทธิภาพแค่ไหน แต่ถ้าเปลือกภายนอกที่ห่อหุ้มมันไว้ดูธรรมดา ผู้คนก็พร้อมจะมองข้ามมันไปในทันที และนั่นคือสิ่งที่ทั้งสองค่ายรถยนต์นี้ทำ โดยเฉพาะ NSU ที่นำเครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้มาประกอบเช้ากับรถรุ่น NSU Ro80 ซึ่งเป็นรถยนต์ซีดานรูปทรงธรรมดา ไม่หวือหวา ผลที่ตามมาคือ ... ไม่เปรี้ยง ไม่ปัง ไม่คุ้มกับทุนที่ทุ่มลงไป โปรเจกต์ที่วางแผนไปจึงจำเป็นต้องหยุดลงในเวลาอันรวดเร็ว
ตรงกันข้ามกับ Mazda ที่ต้องถือว่าค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นค่ายนี้มีแนวคิดด้านการตลาดที่ค่อนข้างล้ำลึก พวกเขานำความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับ Jaguar ในยุค 50's มาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับตัวเอง
โดยในช่วงนั้น Jaguar ค่ายรถยนต์เก่าแก่จากสหราชอาณาจักรต้องการจะเปิดตัวเครื่องยนต์ใหม่ของพวกเขาอย่าง DOHC XK และสิ่งที่พวกเขาทำคือการนำเครื่องยนต์ใหม่รุ่นนี้ไปใส่กับรถยนต์สปอร์ตที่ล้ำที่สุดของค่ายในเวลานั้นอย่าง Jaguar XK120 ซึ่งผลก็คือการประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลังจากที่ปรับปรุงแก้ไขจนเข้าที่เข้าทาง (เครื่องยนต์โรตารี่รุ่นใหม่ของ วันเคล ถึงจะมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็มีปัญหาในเรื่องการทำงานของโรเตอร์ ที่เมื่อใช้ไปนาน ผนังรอบๆ ห้องสูบจะเกิดการสึกหรอ จนทำให้ประสิทธิภาพลดลง) Mazda ก็ได้นำเครื่องยนต์แห่งความหวังมาประกอบเข้ากับ Mazda Cosmo ซึ่งถือเป็นรถสปอร์ตรุ่นท็อปของค่ายในตอนนั้น และเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในงาน Tokyo Motor Show อย่างไรก็ตาม Mazda ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ผลิตขึ้นเพื่อจำหน่าย จนกระทั่งปี 1967
เพื่อเป็นการยืนยันว่ารถที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์โรตารี่รุ่นใหม่นี้มีศักยภาพที่ใช้งานได้จริง ทาง Mazda จึงได้ส่งรถ Cosmo เข้าแข่งขัน 84 hour Marathon de la Route รายการแข่งรถชื่อดังที่จัดขึ้นในประเทศเยอรมัน ซึ่งผลลัพธ์คือ รถคันแรกจำต้องจอดป้ายในชั่วโมงที่ 82 เนื่องจากเพลาเกิดความเสียหาย แต่อีกคันสามารถพาตัวเองเข้าเส้นชัยได้สำเร็จเป็นลำดับที่ 4 ซึ่งเท่านี้ก็คงเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเครื่องยนต์ของพวกเขาเป็น "ของจริง"
www.motortrend.com
อย่างไรก็ตามด้วยความเป็นรถสปอร์ตประสิทธิภาพสูง Mazda Cosmo จึงมีราคาค่อนข้างสูง และไม่สามารถผลิตออกมาได้ในจำนวนมาก ทาง Mazda จึงได้นำเครื่องยนต์โรตารี่มาใส่เข้ากับ RX-3 Savanna Coupe ด้วยอีกหนึ่งรุ่น แม้จะประสบความสำเร็จอยู่ระดับหนึ่ง แต่ปรากฏว่า RX-3 นั้นเป็นรถรุ่นที่เล็กเกินไป ไม่สามารถเข้ากับเครื่องยนต์โรตารี่ได้ดีนัก นั่นจึงเป็นที่มาของไอเดียในการเริ่มต้นผลิตรถเพื่อรองรับเครื่องยนต์ชนิดนี้ได้อย่างพอดี มีรูปทรงสวยงาม และที่สำคัญราคาต้องไม่สูงจนเกินไป
ด้วยเรื่องราวเหล่านี้ทำให้ในปี 1978 Mazda RX-7 คันแรกก็ได้ออกสู่สายตาชาวโลกในชื่อ RX-7 Savanna รหัสตัวถึง SA22C โดยได้รับแรงบันดาลใจในเรื่องรูปทรงภายนอกมาจาก Lotus Elan รถสปอร์ตเชื้อสายอังกฤษ
การเดินทางข้าม 3 ทศวรรษ
Mazda Savanna RX-7 เป็นผลงานการออกแบบของ "มัตซึบุโร่ มาเอดะ" หรือจะเรียกว่าเขาเป็นบิดาแห่ง RX-7 ก็คงไม่ผิดนัก และถึงแม้จะยังมีคำว่า Savanna เหมือนกับรุ่น RX-3 แต่นอกจากการเป็นรถสปอร์ตคูเป้ และใช้เครื่องยนต์โรตารี่เหมือนกัน ในส่วนที่เหลือนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
www.supercars.net
Mazda Savanna RX-7 คือเจเนอเรชั่นแรกของ RX-7 ดำเนินการผลิตอยู่ในช่วงปี 1978-1985 เป็นรถสปอร์ตคูเป้ 2 ประตู มาพร้อมเครื่องยนต์ Wankel Rotary มีด้วยกันทั้งหมด 3 แบบ 2 ขนาด คือ 12A 1.2 ลิตร, 12A 1.2 ลิตร เทอร์โบ, และ 13B 1.3 ลิตร ซึ่งเป็นขนาดใหญ่สุด เร่งความเร็วได้สูงสุดประมาณ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง และสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในได้ระยะเวลา 9.2 วินาที
ใน Mazda Savanna RX-7 ซึ่งถือเป็นเจเนอเรชั่นแรกนั้นสามารถแบ่งออกไปได้อีก 3 รุ่นย่อย โดยแบ่งตามห้วงเวลาที่ผลิต ซึ่งจะมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่รายการคอคนรักรถ ถ้าจะอธิบายทุกรุ่นทุกโฉมเกรงว่าผู้อ่านทุกคนจะเบื่อกันไปเสียก่อน เอาเป็นว่าสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Mazda Savanna RX-7 ก็มีประมาณนี้
Mazda Savanna RX-7 ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยยอดขาย 471,018 คัน ดังนั้นทาง Mazda ก็ไม่รอช้าที่จะเริ่มผลิต RX-7 เจเนอเรชั่น 2 ขึ้นมาเพื่อสานต่อ
เจเนอเรชั่น 2 ของ RX-7 ในรหัสตัวถัง FC3S ยังคงถูกเรียกว่า Mazda Savanna RX-7 เหมือนเดิม แต่มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไป รวมถึงหัวหน้าทีมพัฒนาด้วย จาก มัตซึบุโร่ มาเอดะ เป็น อาคิโอะ อูชิยาม่า ซึ่งก่อนที่เขาจะเริ่มพัฒนาก็ได้มีการสำรวจตลาดว่าเหตุใด RX-7 รุ่นแรกถึงได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา
ผลปรากฏว่าทั้งๆ ที่ RX-7 เจเนอเรชั่นแรกได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Lotus Elan แต่ในอเมริกาคนกลับพูดถึงในแง่ของการเป็น "รถปอร์เช่ราคาถูก" เนื่องจากมันมีความคล้ายคลึงกับ Porsche 924 และ 944 พอสมควร ดังนั้นไหนๆ ก็เป็นแบบนี้แล้ว อูชิยาม่า จึงหยิบ Porsche 924 และ 944 มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเจเนเรชั่นที่ 2 เสียเลย โดยหมายมั่นปั้นมือว่ารถที่เขาผลิตออกมานั้นต้องเทียบชั้นกับ Porsche ได้จริงๆ
เพื่อให้สามารถแข่งขันกับ Porsche ได้ RX-7 เจเนอเรชั่นที่ 2 จำเป็นต้องปรับปรุงระบบช่วงล่างให้เป็นระบบอิสระ พร้อมเสริมด้วยระบบเลี้ยว 4 ล้อ เพื่อให้เข้าออกโค้งได้รวดเร็วและเสถียรยิ่งขึ้น
RX-7 เจเนอเรชั่น 2 ดำเนินการผลิตอยู่ในช่วงปี 1985-1992 เป็นรถสปอร์ตคูเป้ 2 ประตูเหมือนกับเจเนเรชั่นแรก แต่มีการเพิ่มเติมรุ่นเปิดประทุนเข้าไปด้วย มาพร้อมเครื่องยนต์ Wankel Rotary ที่คราวนี้เหลือแค่ขนาด 1.3 ลิตร เพียงขนาดเดียว แต่แบ่งเป็น 2 แบบ คือ 13B และ 13B-T เทอร์โบ
RX-7 เจเนอเรชั่น 2 ทำยอดขายไปทั้งหมด 272,027 คัน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ และทำให้รถรุ่นนี้สามารถเดินทางต่อไปยังเจเนอเรชั่นที่ 3 ได้
Mazda RX-7 เจเนอเรชั่น 3 FD3S หรือที่เรียกกันติดปากว่า FD ส่วนในญี่ปุ่นจะรู้จักกันในชื่อ ɛ̃fini (ซึ่งเป็นชื่อเครือโชว์รูมรถยนต์ในญี่ปุ่นที่จำหน่ายรถรุ่นนี้) มีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าทีมพัฒนาอีกครั้ง โดยคราวนี้เป็น "ทอม มาตาโน่" และ "โยอิชิ ซาโตะ" เข้ามารับหน้าที่ พร้อมด้วยแนวคิดว่า
"ถึงเวลาแล้วที่จะทำให้ RX-7 กลายเป็นรถสปอร์ตจริงๆ เสียที"
เนื่องจากที่ผ่านมาทาง Mazda พยายามจำกัดขนาดกายภาพรถและขนาดเครื่องยนต์เพื่อให้ผู้ซื้อไม่ต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูง (ในช่วงนั้นรถยนต์ 2 ประตูที่มีขนาดเครื่องยนต์เกิน 1,500 cc และมีขนาดตัวรถเกินกว่าที่กำหนดจะต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูงเป็นอย่างมาก) แต่คราวนี้พวกเขาจะทำให้ RX-7 เป็นรถสปอร์ตที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ภายนอกหรูหราขึ้น แต่เครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 cc
Mazda RX-7 เจเนอเรชั่น 3 หรือ FD3S ดำเนินการผลิตอยู่ในช่วง 1992-2002 เป็นรถสปอร์ตคูเป้ 2 ประตู มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.3 ลิตร เทอร์โบคู่ รหัส 13B-REW ถือเป็นการยกระดับ RX-7 ให้กลายเป็นรถสปอร์ตเต็มขั้นโดยแท้จริง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยยอดขายที่ลดลง เหลือเพียง 68,589 คันเท่านั้น
PacificCoastAuto
หลังจากสิ้นสุดปี 2002 ทาง Mazda ก็ไม่มีการผลิต RX-7 ออกมาอีกเลย ราวกับประตูของซีรีส์รถในตำนานซีรีส์นี้ได้ปิดตัวลงอย่างถาวรแล้ว แต่ถ้าใครเป็นแฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ตก็อาจจะยังได้เห็น RX-7 อยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากนี่ถือเป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่บรรดานักดริฟท์นิยมชมชอบ ด้วยรูปร่างที่เล็กกะทัดรัด ปราดเปรียว
และนอกจากในรายการแข่งขัน อีกหนึ่งบทบาทที่ทำให้เราได้เห็น RX-7 อยู่บ่อยครั้งคือการที่มันได้ไปปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์ โดยเราจะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป
รถของสายลับสู่รถมือสองราคาแรง
ถ้าใครเป็นแฟนแฟรนไชส์ภาพยนตร์ Fast and Furious น่าจะจดจำได้เป็นอย่างดีว่า รถสีแดงที่ตัวละคร โดมินิค โทเร็ตโต้ ขับใน The Fast and the Furious ภาพยนตร์ลำดับแรกในแฟรนไชส์ ก็คือ Mazda RX-7 รหัสตัวถัง FD3S ก่อนที่ FD3S จะปรากฏให้เห็นอีกครั้งในภาพยนตร์ลำดับที่ 3 ของแฟรนไชส์อย่าง The Fast and the Furious: Tokyo Drift ในการเป็นรถของตัวละครขวัญใจมหาชนอย่าง "ฮาน" หรือ "ฮาน ซึงโอ" ที่มีฉากในความทรงจำคือฉากไล่ล่ากลางกรุงโตเกียว ก่อนที่ RX-7 สีส้ม-ดำ ของ ฮาน จะโดน Mercedes-Benz S-Class (ซึ่งมาเฉลยใน Fast & Furious 6 ว่า คนขับคือ เดคการ์ด ชอว์) สอยเข้าเต็มลำ
www.insider.com
แต่ในเมื่อ RX-7 รหัสตัวถัง FD3S เป็นรถที่ถือกำเนิดในประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันจะปรากฏอยู่ในป๊อปคัลเจอร์ของญี่ปุ่นบ่อยครั้งกว่า โดยหนึ่งในนั้นคือการเป็นรถคู่ใจของตัวละคร เคสึเกะ ทากาฮาชิ คู่แข่งคนแรกที่กลายมาเป็นเพื่อนร่วมทีมของ ทาคุมิ ฟูจิวาระ จากมังงะเรื่อง Initial D โดยเป็นรุ่น ɛ̃fini RX-7 Type R สีเหลือง
อย่างไรก็ตามครั้งที่สำคัญจริงๆ และเป็นประเด็นที่ทำให้เราเขียนบทความนี้ขึ้นมา คือการที่ RX-7 เป็นรถคู่ใจของตัวละคร "โทรุ อามุโร่" จากมังงะเรื่อง ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ซึ่งถึงแม้ว่า อามุโร่ อาจจะไม่ใช่ "ตัวละครหลัก" ขนาดนั้น เนื่องจากกว่าที่เขาจะปรากฏตัวมาก็ปาเข้าไปในฉบับรวมเล่มเล่มที่ 76 เข้าไปแล้ว
แต่ด้วยบทบาทการเป็น "สายลับสองหน้า" ที่ตัวจริงเป็นตำรวจสันติบาล แต่กลับปลอมตัวเข้าไปอยู่ในองค์กรชายชุดดำในชื่อ "เบอร์เบิน" ได้อย่างแนบเนียน อีกทั้งในช่วงหลังมานี้บทบาทของเขาก็ค่อยๆ ถูกขับให้เด่นยิ่งขึ้น มีบทบาทในเหตุการณ์สำคัญหลายครั้ง นอกจากนั้นบุคลิกส่วนตัวของเขาก็นับว่าเท่ไม่หยอก ภายนอกอาจจะดูเป็นชายหนุ่มรูปงาม คารมดี แจ่มใสร่าเริง แต่เมื่อเข้าโหมดปฏิบัติภารกิจ อามุโร่ ก็มักจะมาพร้อมความฉลาดเป็นกรด อ่านเกมศัตรูได้อย่างเฉียบขาด สายตามุ่งมั่นเอาจริงเอาจังแฝงไปด้วยความเย็นชา
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ตัวละคร อามุโร่ จะเป็นหนึ่งในตัวละครที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในเรื่อง และทำให้ Mazda RX-7 FD3S ซึ่งเป็นรถประจำกายของเขาได้รับความนิยมตามไปด้วย โดยเป็นรถสีขาว และเป็นโฉมที่มีการผลิตหลังปี 1997 เป็นต้นมา ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีตัวละครในมังงะเรื่อง ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน อีกหลายคนที่ใช้ FD3S เช่นกัน
viearth.com
เมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งที่ตามมาคือราคาในตลาดมือสอง โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นนั้นมีการผันผวนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีการเก็บข้อมูลย้อนหลังด้วยและพบว่า ราคาโดยเฉลี่ยของ Mazda RX-7 (FD3S) ในปี 2019 อยู่ที่ประมาณ 2,550,000 เยน (ราว 763,000 บาท) ก่อนจะพุ่งไปแตะระดับ 3,060,000 เยน (ราว 915,000 บาท) และตกลงมาในเดือนมีนาคม 2020 ยืนพื้นอยู่ในเพดานระดับ 2,870,000 เยน (ราว 859,000 บาท) หรือสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งปีของราคาในปีก่อนราว 230,000 เยน (ราว 68,000 บาท) หรือเกือบ 20% เลยทีเดียว
ถึงแม้ราคาอาจจะยังไม่พุ่งแรงเหมือน Toyota AE86 ของ ทาคุมิ หรือ Kawasaki Z750 ของ โอนิซึกะ ที่ขึ้นหิ้งระดับตำนานไปแล้วด้วยเหตุผลด้านระยะเวลา และอิทธิพลของตัวละคร ที่ก็ต้องยอมรับว่า อามุโร่ นั้นยังค่อนข้างห่างชั้นกับทั้ง 2 ตัวละครที่กล่าวมา แต่นี่ก็น่าจะเป็นการยืนยันที่ชัดเจนอีกหนึ่งครั้งว่าป๊อปคัลเจอร์นั้นมีอิทธิพลต่อราคาสินค้าในตลาดมากขนาดไหน
ส่วนในประเทศไทยจากการสำรวจตลาดคร่าวๆ พบว่าราคามือสองของ Mazda RX-7 รหัสตัวถัง FD3S นั้นเริ่มต้นที่ 1 ล้านบาทต้นๆ ไปจนถึง 2 ล้านบาทกลางๆ ขึ้นอยู่กับสภาพ การปรับแต่ง และอายุการใช้งาน
การกลับมาของตำนาน
"มีโอกาสหรือไม่ที่ Mazda RX-7 จะกลับมาผลิตใหม่อีกครั้ง?"
นี่น่าจะเป็นหนึ่งในคำถามที่แฟนรถซีรีส์นี้น่าจะอยากได้คำตอบมากที่สุด เพราะนี่ก็เป็นระยะเวลากว่า 18 ปีแล้วที่ RX-7 หายไปจากการเป็นรถป้ายแดง จนกระทั่งในงาน Tokyo Motor Show ปี 2015 ความหวังก็เริ่มเปล่งแสงขึ้นมาเมื่อ Mazda ได้นำรถต้นแบบ RX-Vision มาแสดง แต่แสงนั้นก็ต้องดับวูบไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากทาง Mazda เผยว่าสิ่งที่นำมาโชว์เป็นแค่แนวคิดที่ Mazda สร้างไว้เพื่อใช้พัฒนาต่อยอดให้กับรุ่นอื่นๆ เท่านั้น
www.carrecent.com
ความต้องการให้ RX-7 กลับมาผลิตอีกครั้งนั้นชัดเจนถึงขั้นที่ว่า มีนักออกแบบชาวฟิลิปปินส์ชื่อ "เอ็นน็อค กาเบรียล กอนซาเลส" ได้นำดีไซน์ของ RX-7 นำมาผสมผสานเข้ากับแนวคิด RX-Vision โดยยึดเอกลักษณ์ดั้งเดิมที่วางกระจังหน้าและไฟหน้าต่ำ มีโลโก้อยู่ด้านบน ไฟท้าย LED ลากยาวเป็นแนวนอน วางท่อไอเสียคู่ซ้าย-ขวา พร้อมตั้งชื่อมันว่า Mazda RX-7 2022 ออกมายั่วน้ำลายให้แฟนๆ ได้มโนกัน
อย่างไรก็ตามจากคำพูดของ อากิระ มารุโมโตะ ผู้บริหารของ Mazda ได้กล่าวถึงการกลับมาของ RX-7 เอาไว้ว่า
"เราทุกคนมีความฝันที่จะได้เห็นยานพาหนะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์โรตารี่อีกครั้งในสักวันหนึ่ง แต่บริษัทมีอีกหลายอย่างที่ต้องพัฒนาในตอนนี้ เราจึงต้องวางสิ่งนี้ไว้เป็นอันดับสุดท้ายและยังไม่มีกำหนดเวลาที่จะหยิบมาทำ"
ได้ฟังแบบนี้แฟนๆ ของซีรี่ส์ RX-7 ก็อาจจะใจแป้วกันไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประตูแห่งความหวังจะปิดลงอย่างสิ้นเชิง เพราะถ้าย้อนกลับไปดูที่จุดเริ่มต้นก็จะพบว่า Mazda คือบริษัทที่พร้อมเสี่ยง และมักจะทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดอยู่เสมอ
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ