การวอร์มเครื่องยนต์ก่อนขับ 5 นาที ยังจำเป็นอยู่หรือไม่?

     หลายคนคงเคยได้ยินข้อแนะนำกันมาบ้างว่า ภายหลังจากสตาร์ทเครื่องยนต์ตอนเช้า ควรปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานสักระยะจนกว่าจะร้อนได้ที่แล้วจึงขับออกไป จะช่วยถนอมเครื่องยนต์ให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่?

     ความเชื่อเรื่องการวอร์มเครื่องยนต์เกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคที่ใช้เครื่องยนต์แบบคาร์บูเรเตอร์ ซึ่งมีหน้าที่ผสมน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ากับอากาศในอัตราส่วนที่เหมาะสมเพื่อให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้ แต่หากใช้งานในสภาพอากาศหนาวหรือจอดทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน เครื่องยนต์ประเภทนี้จะสตาร์ทติดยากเนื่องจากส่วนผสมระหว่างน้ำมันและอากาศไม่สมบูรณ์ จึงสังเกตได้ว่าเครื่องยนต์รุ่นเก่าๆ จะมี "ปุ่มโช๊ค" เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำมันให้มากขึ้น ทำให้รถติดง่ายขึ้นนั่นเอง

     ดังนั้น รถยนต์ยุคเก่ามักจะทำการวอร์มเครื่องยนต์ก่อนขับ เพื่อรอให้เครื่องยนต์ร้อนเสียก่อน จะได้ไม่มีปัญหารถดับหลังจากที่ปิดระบบโช๊ค

     ขณะที่เครื่องยนต์หัวฉีดเริ่มเข้ามาแทนที่คาร์บูเรเตอร์ตั้งแต่ช่วงหลังปี 1990 เป็นต้นมา จนทำให้เครื่องยนต์ระบบคาร์บูเรเตอร์แทบไม่เหลือแล้ว ซึ่งเครื่องยนต์หัวฉีดไม่มีความจำเป็นต้องวอร์มเครื่องให้อุ่นก่อนขับ โดยเฉพาะประเทศแถบร้อนอย่างบ้านเรา นอกเสียจากประเทศที่มีสภาพอากาศหนาวจัดระดับติดลบ อาจจะต้องมีการวอร์มเครื่องยนต์บ้าง (แต่โดยมากก็ทำเฉพาะรถยนต์ดีเซลรุ่นเก่าๆ ที่สตาร์ทติดยากในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น)

     จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่ารถยนต์รุ่นใหม่ๆ (อันที่จริงก็หมายถึงรถยนต์ระบบหัวฉีดที่นิยมใช้กันมา 30 กว่าปีแล้ว) ไม่มีความจำเป็นต้องวอร์มเครื่องยนต์ก่อนขับแต่อย่างใด

     นอกจากนี้ น้ำมันเครื่องยนต์ยุคใหม่ๆ ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพในการปกป้องชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก การวอร์มเครื่องยนต์จึงแทบไม่มีผลต่อการชะลอความสึกหรอของชิ้นส่วนในเครื่องยนต์

     แต่ถึงกระนั้น หลังจากสตาร์ทเครื่องยนต์ในช่วงเช้า หากเครื่องยนต์ยังคงเย็นอยู่ ก็ไม่ควรเร่งรอบเครื่องยนต์สูงจนเกินไป ทางที่ดีควรประคองรอบเครื่องยนต์ไม่ให้เกิน 3,000 รอบต่อนาทีในช่วง 1-2 นาทีแรก เพื่อให้น้ำมันเครื่องอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมเสียก่อน ก็เท่ากับเป็นการวอร์มเครื่องยนต์ไปในตัวแล้วล่ะครับ