3 สัญญาณบ่งบอกว่าถึงเวลาเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนได้แล้ว
ในช่วงที่มีฝนตกแทบทุกวันเช่นนี้ เจ้าของรถควรดูแลรักษาระบบปัดน้ำฝนให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ เพราะถือเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในขณะขับขี่ท่ามกลางสายฝน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าใบปัดน้ำฝนของเราถึงเวลาต้องเปลี่ยนใหม่แล้วหรือยัง วันนี้ Sanook Auto มี 3 สัญญาณที่บ่งบอกว่าถึงเวลาเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนได้แล้ว จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลยครับ
1.ทิ้งรอยน้ำเป็นเส้นบนกระจก
หากปัดน้ำฝนแล้วพบว่ายังคงเหลือรอยน้ำเป็นเส้นทิ้งไว้บนกระจก อาจเกิดจาก 2 กรณี คือ 1.มีเศษสกปรกหรือใบไม้ติดอยู่กับใบปัดน้ำฝน และ 2.ยางใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ ดังนั้น หากลองเช็กแล้วพบว่าไม่มีสิ่งสกปรกติดอยู่กับใบปัด นั่นแสดงว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนใหม่แล้วล่ะครับ
2.ใบปัดมีเสียงหรือมีอาการสะดุด
ยางปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพจะมีลักษณะแข็งและเอียงไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการใบปัดสะดุดและเกิดเสียงดังน่ารำคาญในขณะใช้งานได้ แบบนี้ควรรีบเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนใหม่โดยทันที จะช่วยให้เสียงดังหายไปในที่สุด
แต่หากเพิ่งเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนไปได้เพียงไม่นาน เนื้อยางยังสามารถรีดน้ำได้ดีอยู่ เป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากน้ำยาเคลือบกระจกหรือน้ำยาเติมหม้อพักน้ำฉีดกระจกก็เป็นได้ ให้ลองสังเกตดูว่าเมื่อหยุดการใช้น้ำยาเหล่านั้น ทำให้เสียงดังหรืออาการสะดุดหายไปด้วยหรือไม่ >> เคล็ดลับแก้ปัญหา “ใบปัดน้ำฝนสะดุด-มีเสียงดัง” งบหลักสิบแต่ได้ผลเกินร้อย
3.ปัดน้ำฝนแล้วก็ยังมองเห็นไม่ชัด
ถ้าเปิดที่ปัดน้ำฝน 2-3 ครั้ง แต่ยังมีคราบน้ำหลงเหลือจนทำให้มองไม่ชัดแล้วล่ะก็ แบบนี้แสดงว่าต้องรีบเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนด่วนแล้วล่ะครับ เพราะถือว่าส่งผลต่อทัศนวิสัยอย่างร้ายแรง และอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้
การเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนไม่จำเป็นต้องนำรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่เสมอไป ปัจจุบันมีช่องทางซื้อที่ปัดน้ำฝนใหม่มากมาย ทั้งในร้านค้าและทางออนไลน์ เพียงแต่ต้องตรวจสอบขนาดความยาวของก้านปัดและลักษณะของข้อต่อให้ตรงกับของเดิม ก็สามารถเปลี่ยนเองได้แบบไม่ยากเย็นเลย
ทางที่ดีควรเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนทุก 1-2 ปี หรือเปลี่ยนทันทีที่ใบปัดเริ่มเสื่อมสภาพด้วยนะครับ