“รถ EV” ต้องเข้าศูนย์บ่อยแค่ไหน เช็กอะไรบ้าง?
กระแสรถพลังงานไฟฟ้า (EV : Electric vehicles) ในบ้านเรากลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลัง GWM ค่ายรถน้องใหม่จากจีน เปิดตัวพร้อมเคาะราคา ORA Good Cat ออกมาเป็นที่เรียบร้อย ประกอบกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบเดือนที่ผ่านมา
นอกจากเรื่องของความประหยัดในเรื่องของการใช้พลังงานจากไฟฟ้าแทนน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ด้วยโครงสร้างในการขับเคลื่อนที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีส่วนประกอบไม่ถึง 100 ชิ้น เมื่อเทียบกับชิ้นส่วนในเครื่องยนต์สันดาปหลายพันชิ้น สิ่งที่จะเปลี่ยนไปสำหรับผู้ใช้รถคือการเข้ารับบริการเซอร์วิส เช็กระยะ และบำรุงรักษา
ที่ผ่านมา ค่ายรถยุโรปแบรนด์ดังหลายยี่ห้อ มีการแข่งขันกันในเรื่องของบริการหลังการขาย บางยี่ห้อฟรีค่าบำรุงรักษานานถึง 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจหลังจากนี้สำหรับเจ้าของรถ EV คือการนำรถเข้าศูนย์บริการ และการดูแลรักษาจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน
ข้อมูลจากเว็บไซต์ myev.com ระบุว่าหากคุณเปลี่ยนไปใช้รถพลังงานไฟฟ้า 5 สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุด โดยเรียงลำดับความสำคัญจากมากไปน้อย คือ 1.แบตเตอรี่ 2.ระบบเบรก 3.ระบบระบายความร้อน 4.ของเหลวที่เกี่ยวข้องกับระบบเบรก และ 5.คือยางทั้ง 4 เส้น
ขณะเดียวกันเว็บไซต์ยังมีการนำข้อมูลจากผู้ใช้รถพลังไฟฟ้า Chevrolet Bolt EV ที่เริ่มต้นใช้งานจริงนับตั้งแต่ซื้อจากโชว์รูมในปี 2019 และมีตารางเวลาในการบำรุงรักษาที่ชัดเจน ดังต่อไปนี้
ทุก ๆ 1 เดือน ตรวจสอบด้วยตัวเอง
– ตรวจสอบแรงดันลมยาง และน้ำยาล้างกระจกหน้ารถ เหมือนกับรถยนต์ทั่วไป
ทุก ๆ 12,000 กิโลเมตร นำรถเข้าศูนย์บริการ
– สลับยางทั้ง 4 เส้น (คู่หน้าและคู่หลัง)
– เช็กระดับน้ำหล่อเย็นสำหรับแบตเตอรี่
– เช็กระบบเครี่องแแปลงไฟฟ้า ระบบจ่ายไฟฟ้า ระบบชาร์จไฟฟ้า
– เช็กระบบเบรก ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ และระบบช่วงล่าง
ทุก ๆ 24,000 กิโลเมตร นำรถเข้าศูนย์บริการ
– เปลี่ยนใบปัดน้ำฝน
ทุก ๆ 58,000 กิโลเมตร นำรถเข้าศูนย์บริการ
– เปลี่ยนกรองอากาศแอร์
ทุก ๆ 120,000 กิโลเมตร นำรถเข้าศูนย์บริการ
– เปลี่ยนโช้คอัพ และเช็กระบบช่วงล่าง
– เปลี่ยนถ่ายของเหลวระบบหล่อเย็นทั้งหมด
ทั้งนี้จากการที่รถ EV ไม่มีเครื่องยนต์ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครี่องและไส้กรองลงไปได้พอสมควร อย่างไรก็ดี หัวใจสำคัญที่สุดของรถขับเคลื่อนไฟฟ้าคือ “แบตเตอรี่” ซึ่งถือเป็นชิ้นส่วนที่แพงที่สุดประมาณ 5,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 166,000 บาทเลยทีเดียว
ซึ่งจุดที่จะดึงดูดใจลูกค้าก็คือระยะเวลาการรับประกันอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ที่ปกติแล้วค่ายรถส่วนใหญ่จะรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรีไว้ที่ระยะเวลา 8-10 ปี หรือระยะทาง 100,000-120,000 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่สมเหตุสมผล หากคุณจ่ายเงินซื้อรถประเภทนี้มาใช้งาน