ช่อง OBD II คืออะไร? ทำไมรถทุกคันถึงต้องมี?
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ช่อง OBD” มาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของมันสักที แลัวรู้หรือไม่ว่าเจ้า OBD ที่ว่านี้แท้จริงแล้วคืออะไร แล้วทำไมถึงต้องมีติดตั้งไว้ในรถแทบทุกคัน?
OBD ย่อมาจากคำว่า On-board Diagnostic ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานสำหรับใช้เชื่อมต่อเข้ากับกับคอมพิวเตอร์ โดยพอร์ตที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะถูกเรียกว่า OBD 2 หรือ OBD II ซึ่งมีลักษณะเป็นปลั๊กเสียบที่มีพินเชื่อมต่อขนาดเล็กจำนวน 16 พิน ติดตั้งเอาไว้ใต้แผงคอนโซลฝั่งผู้ขับขี่ อาจมีฝาพลาสติกปิดอยู่หรือไม่มีก็ได้ และอาจติดตั้งอยู่ในตำแหน่งอื่นๆ แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น
ช่อง OBD II จะถูกใช้สำหรับศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถ ในการตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นของตัวรถ โดยเฉพาะเวลาที่ไฟเตือนรูปเครื่องยนต์ปรากฏขึ้นบนหน้าปัด ช่างก็จะใช้คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อเข้ากับตัวรถผ่านพอร์ต OBD II เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติที่เกิดขึ้นและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดต่อไป ขณะที่รถรุ่นใหม่ๆ สามารถเก็บบันทึกพฤติกรรมการขับขี่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเหยียบคันเร่ง การเหยียบเบรก ความถี่ในการใช้รถ และอื่นๆ อีกด้วย
ปัจจุบันมีผู้คิดค้นอุปกรณ์บลูทูธสำหรับเชื่อมต่อเข้ากับช่อง OBD II เพื่ออ่านค่าเบื้องต้นผ่านโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนได้ โดยสามารถบอกข้อมูลคร่าวๆ เช่น รอบเครื่องยนต์, ความเร็วในขณะนั้น, การแจ้งเตือนและความผิดปกติต่างๆ โดยสามารถหาซื้อได้ในราคาหลักร้อยไปจนถึงหลักพันบาท แต่อุปกรณ์เหล่านี้จะทำได้เฉพาะการอ่านค่าเท่านั้น แต่ไม่สามารถปรับแต่งค่าใดๆ ได้
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีพ่อค้าหัวใสคิดค้นผลิตภัณฑ์เสียบช่อง OBD II ในราคาไม่กี่ร้อยบาท โดยอ้างสรรพคุณว่าจะช่วยให้รถแรงขึ้น ประหยัดน้ำมันขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เนื่องจากพอร์ตดังกล่าวเป็นเพียงช่องทางเชื่อมต่อข้อมูลสำหรับการแสดงผลเท่านั้น ขณะที่การปรับจูนกล่องควบคุมเครื่องยนต์ หรือ ECU ก็จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือและช่างผู้ชำนาญการโดยเฉพาะกับรถรุ่นนั้นๆ เท่านั้น