เช็กรถก่อนเดินทางไกล 7 จุดสำคัญ มีอะไรบ้าง?
ก่อนการขับรถเดินทางไกลทุกครั้ง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจสภาพรถเบื้องต้นด้วยตัวเอง เพื่อให้การเดินทางราบรื่นและปลอดภัยมากที่สุด Sanook Auto จึงขอแนะนำ 7 จุดสำคัญที่ต้องตรวจเช็กก่อนเดินทางไกล มีอะไรบ้างไปดูกันเลย
จุดที่ 1 สภาพยางรถยนต์ และแรงดันลมยาง
ควรตรวจเช็กสภาพยางรถยนต์ด้วยสายตา โดยจะต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน มีดอกยางเหลือมากกว่า 3 มิลลิเมตรขึ้นไป ไม่มีรอยฉีกหรือแตกลายงาที่อาจก่อให้เกิดการรั่วซึมหรือระเบิดขณะขับขี่ได้ อีกทั้งยังควรตรวจสอบแรงดันลมยางก่อนออกเดินทาง โดยรถทุกคันจะระบุแรงดันลมยางที่เหมาะสมเอาไว้ที่ข้างตัวรถ (รถบางยี่ห้อจะอยู่ด้านในของฝาถังน้ำมัน) รวมถึงจะต้องเติมลมยางเพิ่มขึ้นจากปกติประมาณ 4-12 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) กรณีบรรทุกผู้โดยสารและสิ่งของเต็มคัน (ขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น)
จุดที่ 2 ระดับของเหลวในห้องเครื่องยนต์
ควรตรวจเช็กของเหลวในห้องเครื่องยนต์ให้ได้ระดับอยู่เสมอ ซึ่งโดยมากแล้วจะประกอบด้วย น้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์, น้ำหล่อเย็น (คูลแลนท์), น้ำมันเบรก, น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ ฯลฯ รวมถึงต้องตรวจเช็กว่าของเหลวอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ข้นดำหรือมีกลิ่นผิดแปลกไปจากปกติ หากพบว่าของเหลวพร่องเกินระดับมาตรฐาน อาจเป็นเพราะมีการรั่วซึมเกิดขึ้น ควรรีบนำรถเข้ารับการแก้ไขก่อนเดินทางไกล
จุดที่ 3 สภาพแแบตเตอรี่
ควรตรวจเช็กระดับน้ำกลั่นภายในแบตเตอรี่ก่อนออกเดินทาง รวมถึงขจัดคราบเกลือที่ขั้วแบตฯ เพื่อให้สามารถจ่ายไฟได้อย่างเต็มที่ กรณีเป็นแบตเตอรี่แบบ MF หรือ Maintenance Free ที่ไม่มีช่องเติมน้ำกลั่น ควรตรวจเช็กด้วยการฟังเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ว่ามีอาการเฉื่อยกว่าปกติหรือไม่ หากแบตเตอรี่มีอายุเกิน 2 ปี อาจใกล้เสื่อมสภาพแล้ว ให้พิจารณาเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ตามความเหมาะสม
จุดที่ 4 การทำงานของระบบช่วงล่าง
ให้ตรวจสอบการทำงานของโช้กอัพทั้ง 4 ต้นว่ามีการรั่วซึมหรือไม่ หากพบว่ามีน้ำมันซึมเปื้อนออกมาแสดงว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนโช้กอัพใหม่แล้ว รวมถึงหมั่นสังเกตเสียงจากช่วงล่างขณะขับผ่านทางขรุขระหรือลูกระนาด หากพบว่ามีเสียงแปลกๆ ก็ควรรีบนำรถเข้าไปตรวจเช็กเสียก่อน เพื่อให้รถมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนดังเดิม
จุดที่ 5 ตรวจเช็กไฟส่องสว่างรอบคัน
การตรวจเช็กไฟส่องสว่างรอบคันเป็นสิ่งที่หลายคนละเลย โดยนอกจากจะต้องตรวจเช็กการทำงานของไฟหน้าว่ายังคงส่องสว่างตามปกติทั้งสองข้างแล้วนั้น ยังต้องตรวจเช็กการทำงานของไฟสูง, ไฟหรี่, ไฟตัดหมอกหน้า-หลัง, ไฟเลี้ยวรอบคัน, ไฟถอยหลัง รวมถึงไฟเบรกดวงที่ 3 เพื่อให้การเดินทางยามค่ำคืนมีความปลอดภัยมากที่สุด
จุดที่ 6 สภาพยางปัดน้ำฝน
แม้ว่าช่วงปีใหม่จะไม่ค่อยมีฝนตกเหมือนกับช่วงหน้าฝน แต่ก็ควรตรวจเช็กสภาพใบปัดน้ำฝนว่ายังคงปัดน้ำได้เกลี้ยงตั้งแต่ครั้งแรก กรณีเป็นรถ 5 ประตูที่มีใบปัดน้ำฝนหลังก็ควรตรวจเช็กเพิ่มเติมควบคู่กันไปด้วย และอย่าลืมเติมน้ำล้างกระจกให้เต็มก่อนออกเดินทาง
จุดที่ 7 เครื่องมือประจำรถและเอกสารที่จำเป็นต่างๆ
ตรวจเช็กเครื่องมือประจำรถว่ายังคงอยู่ครบทุกชิ้น โดยเฉพาะอุปกรณ์ในการเปลี่ยนยางอะไหล่ ขณะที่ยางอะไหล่เองก็ต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และมีแรงดันลมยางที่เหมาะสมตลอดเวลา ซึ่งโดยมากแล้วจะต้องเติมเผื่อจากปกติขึ้นอีก 5 ปอนด์ต่อตารางนิ่ว เนื่องจากลมยางจะซึมออกทีละน้อยตลอดเวลา
นอกจากนี้ ควรตรวจเช็กเอกสารที่จำเป็นต่างๆ ว่ายังคงมีติดรถตลอดเวลา เช่น สำเนาสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (หลีกเลี่ยงการเก็บเล่มจริงไว้ในรถ), กรมธรรม์ประกันภัย และกรมธรรม์ประกันภัยภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. เป็นต้น
นอกจากสภาพความพร้อมของตัวรถแล้ว ความพร้อมของผู้ขับขี่ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน โดยผู้ขับขี่ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และหยุดพักขับรถเป็นระยะเพื่อให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอ