รีวิว Nissan Terra 2022 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ลงตัวยิ่งขึ้น คุ้มค่ากว่าเดิม
สมัยเมื่อครั้งที่ Nissan Terra ถูกเปิดตัวในประเทศไทยใหม่ๆ เมื่อเดือนสิงหาคม 2561 หลายคนให้ความเห็นในทำนองว่าหน้าตาเชยบ้างล่ะ ออปชันสู่คู่แข่งไม่ได้บ้างล่ะ มาวันนี้ Terra ได้มีการปรับไมเนอร์เชนจ์ใหม่ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น แถมยังปรับปรุงด้านการขับขี่ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย แต่น่าจะน่าซื้อมากน้อยขนาดไหน Sanook Auto จะพาไปดูกันครับ
แม้ว่า Nissan Terra โฉมไมเนอร์เชนจ์รุ่นปี 2022 จะถูกเปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2564 แล้ว แต่เราเองก็เพิ่งได้มีโอกาสทดสอบรถรุ่นนี้อย่างจริงจังเมื่อช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมานี้เอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะจบลงง่ายๆ แม้ว่าคนไทยส่วนใหญ่จะได้รับวัคซีนเรียบร้อยแล้วก็ตาม
Nissan Terra 2022 โฉมไมเนอร์เชนจ์มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ประกอบด้วย
- 2.3 E 2WD 7AT
- 2.3 VL 2WD 7AY
- 2.3 VL 4WD 7AT
โดยแต่ละรุ่นถือว่ามีอุปกรณ์มาตรฐานค่อนข้างครบครัน เพราะแม้แต่รุ่นล่างสุดอย่าง 2.3 E 2WD 7AT ก็มีระบบความปลอดภัย Nissan Intelligent Mobility (NIM) มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมด้วยขุมพลังดีเซลเทอร์โบคู่ ขนาด 2.3 ลิตร กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ปัจจุบันก็ยังถือว่าแรงเป็นเบอร์ต้นๆ ในตลาดอยู่เช่นเดิม
ภายนอก
รูปลักษณ์ภายนอกของ Nissan Terra โฉมไมเนอร์เชนจ์ ถูกเพิ่มเติมความทันสมัยยิ่งขึ้นด้วยการเปลี่ยนไปใช้ไฟหน้าแบบ Quad-eye LED ที่ประกอบไปด้วย LED จำนวน 4 ดวง พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED รับกับกระจังหน้าทรง V-Motion เอกลักษณ์ของนิสสัน รวมถึงกันชนหน้าที่ถูกออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด
ขณะที่ด้านท้ายติดตั้งไฟท้าย LED แบบ Signature Light ที่ส่องสว่างเป็นแถบ LED จำนวน 2 เส้นในแต่ละข้าง พร้อมด้วยไฟเบรกแบบ LED รวมถึงกันชนท้ายที่ถูกออกแบบขึ้นใหม่เช่นกัน แต่แถบโครเมียมขนาดใหญ่ที่พาดยาวเชื่อมไฟท้ายทั้งสองข้างเข้าไว้ด้วยกันนั้น กลับชวนให้ดูแปลกตาไปเสียหน่อย แต่ไม่ว่าจะเลือกรุ่นย่อยใดก็จะได้ล้ออัลลอยสีทูโทนดีไซน์ใหม่ขนาด 18 นิ้ว เหมือนกันทั้งหมด
ในรุ่น E ถูกติดตั้งกระจกมองข้างปรับและพับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED เสริมความเงียบในห้องโดยสารด้วยกระจกบังลมหน้าและกระจกหน้าต่างประตูคู่หน้าแบบลดเสียงรบกวน (Acoustic Glass) มาให้ด้วย ขณะที่รุ่น VL จะถูกเพิ่มเติมด้วยระบบพับเก็บกระจกมองข้างอัตโนมัติเมื่อกดล็อกประตู, ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถเลือกติดตั้งระบบประตูท้ายไฟฟ้าพร้อมเซ็นเซอร์เท้าเป็นอุปกรณ์เสริมได้ ซึ่งจะถูกติดตั้งในภายหลังที่ดีลเลอร์ ไม่ได้เป็นการติดตั้งมาให้จากโรงงานแต่อย่างใด
ภายใน
ห้องโดยสารของรุ่น VL สามารถเลือกได้ทั้งโทนสีดำ-แดง และสีดำ-เบจ ขณะที่รุ่น E จะมีเฉพาะโทนสีดำเท่านั้น โดยเริ่มต้นที่อุปกรณ์มาตรฐานของรุ่น E จะประกอบไปด้วย เบาะนั่งหุ้มวัสดุผ้าแบบปรับมือ, พวงมาลัยแบบสปอร์ตท้ายตัด D-shape พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและโทรศัพท์, ระบบกุญแจอัจฉริยะพร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์, ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารแถวที่ 2 และ 3, มาตรวัดแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว พร้อม Off-Road Meter, เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส NissanConnect ขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay/Android Auto และลำโพง 6 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ ในรุ่น E ยังถูกติดตั้งเซ็นเซอร์กะระยะด้านท้าย, กล้องมองภาพขณะถอยหลัง, ระบบการขับขี่อัจฉริยะ (Nissan Intelligent Mobility - NIM) ที่ประกอบไปด้วย ระบบการเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชน (IFCW), ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (IEB) และระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (LDW) รวมถึงถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า/ด้านข้าง/ม่านถุงลม) ทั้งหมดนี้มีให้ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นกันไปเลย
ขณะที่รุ่น VL 2WD จะถูกเพิ่มเติมด้วยเบาะนั่งหุ้มวัสดุหนังปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางฝั่งผู้ขับขี่ พร้อมระบบดันหลังไฟฟ้า, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกซ้าย-ขวา, ระบบเบรกมือไฟฟ้า e-PKB, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control, ระบบตรวจวัดแรงดันลมยาง (TPMS) และเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า
ไม่เพียงเท่านี้ รุ่น VL ยังมีการเพิ่มเติมอุปกรณ์มาตรฐานเกี่ยวกับระบบความบันเทิงค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ NissanConnect ขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 9 นิ้ว รองรับ Wireless Apple CarPlay ได้ (Android Auto ต้องต่อผ่านสาย USB เช่นเดิม), ระบบชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger), ระบบนำทาง รวมถึงหน้าจอเพดานสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ Smart TV ผ่านช่อง HDMI ได้ ซึ่งเมื่อเชื่อมต่อเข้ากับสัญญาณ Wi-Fi บนมือถือเรียบร้อยแล้ว ก็จะเปลี่ยนหน้าจอดังกล่าวให้กลายเป็น Smart TV ขนาดย่อมๆ ซึ่งสามารถรับชมคอนเทนท์อย่าง Netflix, WeTV รวมถึงใช้เป็นเบราเซอร์สำหรับท่องอินเทอร์เน็ตได้
ในรุ่น VL ยังมีการเพิ่มฟังก์ชันของระบบการขับขี่อัจฉริยะ Nissan Intelligent Mobility ขึ้นอีก 5 ฟังก์ชันจากรุ่น E ประกอบด้วย กระจกมองหลังอัจฉริยะ (IRVM), กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (IAVM), ระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (MOD), ระบบเตือนรถในมุมอับสายตา (BSW) และระบบตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (RCTA)
ขณะที่รุ่น VL 4WD ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุดนอกจากจะเพิ่มเติมด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4WD แบบ Shift-on-the-fly แล้วนั้น ยังมีระบบล็อกเฟืองท้ายด้วยไฟฟ้า, ระบบ Off-Road Monitor ผ่านกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (IAVM), ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน (HDC) และชุดเครื่องเสียง BOSE Premium Audio System พร้อมลำโพง 8 ตำแหน่ง ซึ่งให้คุณภาพเสียงจัดอยู่ในระดับดีทีเดียว ด้วยเนื้อเสียงที่เน้นความใส กังวาน รวมถึงเสียงเบสที่มีความกระหึ่มพอประมาณ
เครื่องยนต์และช่วงล่าง
Nissan Terra ไมเนอร์เชนจ์ยังคงใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ เทอร์โบคู่ ความจุ 2.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 - 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ที่สามารถปรับเป็นโหมดแมนนวลได้
ช่วงล่างด้านหน้าจะเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบ 5 ลิงค์ คอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ติดตั้งระบบดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ขณะที่รุ่น E เป็นเพียงรุ่นเดียวที่ได้ระบบดรัมเบรกด้านหลัง
การขับขี่
สำหรับรุ่นที่เราทดสอบเป็นรุ่น VL 4WD หรือรุ่นท็อปสุด ซึ่งสิ่งที่เรายังคงประทับใจตั้งแต่โฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์ ก็คือสมรรถนะจากเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ยังคงตอบสนองฝีเท้าได้เป็นอย่างดี ประกอบกับเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ที่ปรับเปลี่ยนอัตราทดได้อย่างนุ่มนวล แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อเทียบกับตัวก่อนไมเนอร์เชนจ์ก็คือพวงมาลัยที่ปรับปรุงให้มีน้ำหนักเบาลง สามารถหมุนได้อย่างคล่องมือมากยิ่งขึ้น ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ รวมถึงยังมีความรู้สึกว่าไวขึ้นอีกเล็กน้อย โดยรวมแล้วมันทำให้ Terra ใหม่ กลายเป็นรถที่ขับสนุกขึ้นมาอีกนิด
ขณะที่ช่วงล่างให้ความนุ่มนวลตามสไตล์รถที่ใช้พื้นฐานแบบ Body-on-frame มีอาการโยนให้เห็นบ้างเมื่อเข้าโค้งที่ความเร็วสูง แต่ก็ไม่ถึงกับโคลงจนน่าเวียนหัว อันที่จริงมันเป็นรองเพียงแค่ช่วงล่างของ Everest เสียด้วยซ้ำ ทั้งยังมีการปรับปรุงเพื่อลดเสียงรบกวนเข้ามายังห้องโดยสารด้วยการใช้กระจกแบบ Acoustic Glass ที่ 3 บานหน้า ซึ่งช่วยเสียงรบกวนได้จริง แม้ว่าจะได้ยินเสียงลมแทรกเข้ามาบริเวณเสา B-pillar อยู่บ้างเมื่อใช้ความเร็ว
แต่จุดขายสำคัญของ Terra ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ จะเป็นในเรื่องของอุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มขึ้นมา โดยเฉพาะระบบความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เนื่องจากคราวนี้มีการติดตั้งหน้าจอสำหรับผู้โดยสารแถวหลังเพิ่มขึ้นมา ซึ่งสามารถเชื่อมต่อแพล็ตฟอร์มความบันเทิงอย่าง Netflix และ WeTV ได้ ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการรับชมคอนเทนท์ต่างๆ โดยไม่เป็นการรบกวนสายตาผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่อยู่ด้านหน้า
แต่สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ หน้าจอหลังของ Terra จะไม่มีหูฟังไร้สายมาให้เหมือนกับ Pajero Sport หากแต่เป็นการกระจายเสียงผ่านลำโพงของตัวรถแทน ซึ่งระหว่างนั้นผู้ขับขี่ก็จะไม่สามารถฟังวิทยุหรือเพลงจากโทรศัพท์มือถือได้เลย เรียกได้ว่าเอาใจสายครอบครัวอย่างแท้จริง
สรุป
Nissan Terra ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ได้มีการลบจุดด้อยที่มีมาในตัวก่อนไมเนอร์เชนจ์ไปแทบทั้งหมด โดยเฉพาะในเรื่องของดีไซน์ที่ดูทันสมัยมากขึ้น รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานให้แบบครบครันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น จนถือได้ว่าเป็นรถพีพีวีที่ให้ความคุ้มค่ามากที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดขณะนี้
นอกจากนี้ Nissan Terra ยังซ่อนทีเด็ดอีกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังของเครื่องยนต์ การตอบสนองของช่วงล่าง รวมถึงในแง่ของความทนทานและการบริการหลังการขายที่ไว้ใจได้ตามฉบับนิสสัน หากใครกำลังมองหารถครอบครัวสไตล์พีพีวีก็ลองพิจารณาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกดูนะครับ
ราคาจำหน่าย Nissan Terra 2022 ไมเนอร์เชนจ์
- รุ่น E 2WD 7AT ราคา 1,199,000 บาท
- รุ่น VL 2WD 7AT ราคา 1,449,000 บาท
- รุ่น VL 4WD 7AT ราคา 1,499,000 บาท
อัลบั้มภาพ 38 ภาพ