รีวิว Toyota Veloz 2022 ใหม่ เอ็มพีวี 7 ที่นั่งคุ้มค่าเกินคาดกับราคา 875,000 บาท
แม้ว่าหลายคนจะไม่คุ้นชื่อ Toyota Veloz มาก่อน แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ทราบได้ทันทีว่ารถรุ่นนี้ถูกนำเข้ามาทำตลาดแทนที่ Toyota Avanza เดิมที่ลากขายมาอย่างยาวนานหลายปี ซึ่งการปรับโฉมครั้งนี้ก็ทำออกมาได้ดีชนิดที่ว่าคู่แข่งถึงกับร้อนๆ หนาวๆ กันเลยทีเดียว จะเป็นอย่างไรไปติดตามได้ในบทความนี้ครับ
All-new Toyota Veloz 2022 ใหม่ ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา โดยเป็นการนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันจากประเทศอินโดนีเซีย มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ Smart และ Premium ตั้งเป้าจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถครอบครัวขนาดเล็ก ราคาจำหน่ายเข้าถึงได้ง่าย รวมไปถึงลูกค้ากลุ่ม SME ที่ต้องการความอเนกประสงค์มากกว่ารถเก๋ง แต่ไม่ต้องการข้ามไปถึงรถกระบะที่มีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่
แม้ว่า All-new Toyota Veloz จะเป็นการนำเข้าทั้งคันจากอินโดนีเซีย แต่ทางโตโยต้าประเทศไทยเองก็ได้มีการปรับปรุงรถรุ่นนี้ให้มีอุปกรณ์มาตรฐานเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าคนไทย (จะเห็นได้ชัดๆ ก็อย่างเช่น การเพิ่มภาษาไทยบนหน้าจอ MID และระบบความบันเทิง รวมถึงการเพิ่มตัวถังสีแดง Dark Red Mica Metallic เข้ามา เป็นต้น)
ภายนอก
รูปลักษณ์ภายนอกของ All-new Toyota Veloz ยังคงเน้นตัวถังแบบ Tall Box ตามฉบับรถเอ็มพีวี เพื่อเน้นเพดานสูงโปร่ง ช่วยเพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะภายในห้องโดยสาร พร้อมทั้งปรับดีไซน์หน้า-หลังให้ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัยกว่า Avanza เดิมอย่างเห็นได้ชัด
โดยทั้งรุ่น Smart และ Premium ต่างก็ถูกติดตั้งไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟหรี่ LED Light Guiding และไฟเลี้ยวแบบ Sequential (แต่ไม่มีไฟส่องสว่างเวลากลางวันมาให้แม้ว่าจะเลือกรุ่นย่อยใดก็ตาม) โดยยังมีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อม Follow-Me-Home และ Leaving Home Lamp มาให้ด้วย อีกทั้งไฟหน้าจะไม่ใช่แบบสว่างปุปปับเหมือนกับรถญี่ปุ่นทั่วไป หากแต่จะค่อยๆ สว่างขึ้น (และดับลง) เหมือนกับรถยุโรปรุ่นใหม่ๆ เป็นกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้รถดูดีขึ้นไม่น้อยทีเดียว
ดีไซน์ของ Toyota Veloz ถูกเน้นความสปอร์ตเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งกระจังหน้าขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งด้วยสีดำเงา พร้อมกรอบไฟตัดหมอกสีดำเสริมด้วยโครเมียม โดยทั้ง 2 รุ่นย่อยยังมาพร้อมกระจกมองข้างปรับ-พับอัตโนมัติ, ระบบปัดน้ำฝนปรับตั้งหน่วงเวลาได้, ราวหลังคา, สปอยเลอร์ท้าย และเสาอากาศแบบครีบฉลาม จะต่างกันก็เพียงรุ่น Premium ได้ไฟส่องสว่างบริเวณพื้น Foot Lamp เพิ่มขึ้นมา และล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว (รุ่น Smart เป็นขนาด 16 นิ้ว)
นอกจากนี้ ในรถทดสอบที่เราได้ทดลองขับยังถูกติดตั้งยาง Bridgestone T005A มาให้ ซึ่งถือเป็นยางระดับท็อปของบริดสโตนที่ขึ้นชื่อเรื่องของความนุ่มเงียบ และการเกาะถนนได้เป็นอย่างดี
ภายใน
ห้องโดยสารของ โตโยต้า เวลอซ ทั้งรุ่น Smart และ Premium ถูกตกแต่งด้วยสีทูโทนดำ-เทา (ซึ่งอันที่จริงจะออกไปทางสีครีมอ่อนๆ เสียมากกว่า) จัดวางเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง หุ้มวัสดุหนังสังเคราะห์สลับผ้า ตกแต่งด้วยตะเข็บสีเทา ขณะที่เบาะนั่งแถวที่สามจะหุ้มด้วยวัสดุผ้าล้วน โดยเบาะนั่งผู้ขับขี่สามารถปรับระดับด้วยมือ 6 ทิศทาง และฝั่งผู้ขับขี่ 4 ทิศทาง
เบาะนั่งแถวที่ 2 ของ Veloz สามารถปรับเลื่อนขึ้นหน้า-หลังเพื่อเพิ่มพื้นที่วางขา และปรับพับแยกได้แบบ 60:40 ส่วนเบาะแถวที่ 3 สามารถปรับพับแยกแบบ 50:50 โดยหนึ่งในไฮไลท์ของการปรับเบาะใน Veloz ใหม่ ก็คือการปรับให้เป็น “Day Bed” ด้วยการพับเบาะนั่งแถวสองแบบเอนราบ และให้ผู้โดยสารตอนหลังขยับไปนั่งเบาะแถวสามแทน ทำให้มีพื้นที่วางขายาวพิเศษคล้ายกับเก้าอี้ Recliners ตามบ้านนั่นเอง
นอกจากนี้ สำหรับลูกค้ากลุ่ม SME ที่ซื้อไปใช้งานบรรทุกสินค้าที่มีน้ำหนักไม่มากนัก ก็สามารถพับเบาะนั่งแถวสองและสามให้ราบลง เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารให้มากที่สุดทั้งในด้านความกว้างและความสูง สามารถวางกระถางต้นไม้ หรือบรรทุกจักรยานได้ หรือจะขนออเดอร์ไปส่งให้ลูกค้าก็ไม่หวั่น!
Toyota Veloz ติดตั้งมาตรวัดสำหรับแสดงความเร็วเป็นแบบดิจิทัล ขณะที่มาตรวัดรอบเครื่องยนต์จะแสดงบนหน้าจอ MID แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้ 4 รูปแบบตามความชื่นชอบ ทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ เช่น เปลี่ยนเสียงไฟเลี้ยวได้ 3 แบบ, เปิด-ปิดระบบไฟเลี้ยว 3 ครั้ง, ปรับระดับเสียงการแจ้งเตือนฟังก์ชันต่างๆ ได้อย่างเต็มที่
ขณะที่พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้านหุ้มวัสดุหนัง เสริมด้วยเว้าบริเวณ 10 และ 2 นาฬิกาช่วยให้จับได้อย่างถนัดมือมากยิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถปรับระดับได้ถึง 4 ทิศทาง (ขึ้น-ลง-เข้า-ออก) จึงสามารถปรับให้เหมาะกับสรีระแต่ละคนได้ไม่ยาก โดยมีปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและรับสาย-โทรออกติดตั้งอยู่บนพวงมาลัย รวมถึงปุ่ม “DRIVE” สำหรับปรับโหมดการขับขี่ ECO และ POWER ซึ่งความแปลกของ Veloz คือรถคันนี้สามารถเปิดทั้ง 2 โหมดไปพร้อมกันได้! สรุปแล้วมันจะช่วยประหยัดหรือจะเพิ่มความแรงเดี๋ยวจะอธิบายกันอีกทีข้างล่างนี้
หน้าจอเครื่องเสียงของ Veloz ในรุ่น Premium เป็นขนาด 9 นิ้ว (รุ่น Smart ขนาด 8 นิ้ว) รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ได้ ให้ความละเอียดคมชัดดี แต่ยังมีอาการ Lag ในทุกครั้งที่สัมผัส ถึงกระนั้นก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้หากใช้งานจนชิน มาพร้อมลำโพงทั้งหมด 6 จุดรอบห้องโดยสาร ให้คุณภาพเสียงระดับพอใช้ แต่ถ้าใครเป็นพวกหูเทพอาจต้องมีพุ่งเข้าร้านเครื่องเสียงกันบ้าง
นอกจากนี้ ทั้ง 2 รุ่นย่อยยังมีแป้นชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) ติดตั้งมาให้บริเวณคอนโซลกลาง สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก เสริมด้วยช่อง USB ด้านหน้า 1 จุด และแถวที่สองอีก 1 จุด ขณะที่เบาะนั่งแถวสามมีช่องจ่ายไฟ 12 โวลต์มาให้แทน ซึ่งข้อดีคือสามารถหาหัวชาร์จแบบ Fast Charging มาใช้ได้ เผลอๆ จะชาร์จเร็วยิ่งกว่าช่อง USB ที่ติดมากับรถเสียอีก
ไล่ลงมาจากจากหน้าจอเครื่องเสียง จะพบกับสวิตช์ควบคุมระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ซึ่งปรับออโต้เฉพาะแรงลมเท่านั้น เนื่องจาก Veloz ไม่มีโหมดปรับทิศทางลมเพื่อเป่าลงเท้าหรือเป่าขึ้นกระจกบังลมหน้าสำหรับไล่ฝ้าใดๆ ทั้งสิ้น แต่ยังดีที่ระบบแอร์ของ Veloz ให้ความเย็นเร็วทันใจตามฉบับโตโยต้า จนเรียกได้ว่า “หนาว” แม้ขับรถในช่วงกลางวันแสกๆ จึงถือว่ายังพอให้อภัยได้
ส่วนช่องแอร์หลังของ Veloz ถูกติดตั้งเหนือเพดานบริเวณเบาะนั่งแถวที่สอง โดยสามารถปรับความแรงลมได้ 3 ระดับ พร้อมช่องแอร์ขนาดใหญ่สำหรับเป่าลมเย็นไปถึงเบาะนั่งแถวที่สาม ซึ่งให้ความเย็นสะใจไม่แพ้กัน
นอกจากนี้ Veloz ทั้ง 2 รุ่นย่อย ยังมีระบบไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารสีน้ำเงิน (Ambient Light) บริเวณแผงคอนโซลกลางและแผงประตูด้านหน้า ซึ่งจะส่องสว่างตลอดทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน โดยหากเปิดไฟหน้ารถ จะทำการหรี่ไฟลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้รบกวนสายตาขณะขับขี่ในเวลากลางคืน
Toyota Veloz ยังมีอุปกรณ์มาตรฐานที่รถยุคปี 2022 ควรจะมี ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB พร้อมระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ Auto Brake Hold, ระบบกุญแจ Smart Entry และปุ่ม Push Start, กระเป๋าหลังเบาะนั่งคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมช่อง Mini Pocket ขนาดเล็กช่วยเพิ่มความสะดวกในการใส่อุปกรณ์เล็กๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ, ปากกา, ซองกระดาษทิชชู่ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้มีให้ทั้ง 2 รุ่นย่อยไม่ต่างกัน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีระบบ Cruise Control มาให้แม้แต่รุ่นย่อยเดียว มิเช่นนั้นแล้วก็น่าจะช่วยให้การเดินทางไกลสะดวกสบายขึ้นกว่านี้
ขณะที่ระบบความปลอดภัยมาตรฐานของ Toyota Veloz ก็ถือว่าจัดเต็มทั้ง 2 รุ่นย่อย ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor), ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert), ระบบควบคุมการทรงตัว VSC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC, ระบบเบรก ABS/EBD/BA, สัญญาณไฟฉุกเฉินขณะเบรกกะทันหัน ESS, กล้องมองภาพขณะถอยหลัง, เซ็นเซอร์กะระยะท้าย, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยรวม 6 ใบ
ใน Premium ถูกเพิ่มเติมด้วยกล้องมองภาพรอบคัน (Panoramic View Monitor) ที่สามารถแสดงภาพมุมสูงแบบ Bird-eye-view ได้ รวมถึงระบบความปลอดภัยขั้นสูง Toyota Safety Sense รวม 5 ฟังก์ชัน ประกอบด้วย
- ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System)
- ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ (Lane Departure Alert)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว (Front Departure Alert)
- ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งแบบผิดวิธี (Pedal Misoperation Control)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beams)
เครื่องยนต์และช่วงล่าง
All-new Toyota Veloz ถูกติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ Dual VVT-i ความจุ 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 106 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที พร้อมทั้งหันไปใช้เกียร์อัตโนมัติ CVT จากเดิมที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดในรุ่น Avanza ซึ่งตามหลักแล้วจะช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองลง รวมถึงเพิ่มความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์เพิ่มมากขึ้น โดยโตโยต้าเคลมอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยเอาไว้ที่ 17.9 กม./ลิตร
สำหรับช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชันบีมและคอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ติดตั้งระบบดิสก์เบรกมาให้ทั้ง 4 ล้อ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อนได้ดีกว่าระบบดรัมเบรก
การขับขี่
ต้องยอมรับว่าเมื่อก้าวเข้ามายังห้องโดยสารของ Toyota Veloz ใหม่ ก็สัมผัสได้ถึงความโปร่งโล่งตามสไตล์รถหลังคาสูง แม้ว่าตัวถังภายนอกจะดูมีลักษณะค่อนข้างแคบ แต่ภายในถือว่ากว้างขวางใช้ได้ มีระยะห่างระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าพอๆ กันกับรถคอมแพ็คคาร์ทั่วไป
ในด้านอัตราเร่งพบว่าเป็นไปตามมาตรฐานเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ที่ต้องแบกรับตัวถังเอ็มพีวีขนาดเล็ก ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป แต่หากขับออกต่างจังหวัดที่ต้องมีจังหวะเร่งแซงสักหน่อยอาจรู้สึกไม่ทันใจเท่าไหร่นัก แต่ถึงกระนั้นการหันมาใช้เกียร์อัตโนมัติ CVT ก็ช่วยให้การเพิ่มความเร็วเป็นไปอย่างนุ่มนวล ไร้อาการสะดุดเหมือนกับเกียร์ออโต้ 4 สปีด
ส่วนโหมดการขับขี่แบบ ECO และ SPORT สามารถสั่งงานผ่านปุ่ม DRIVE บริเวณพวงมาลัยได้ โดยหากกดเพียงสั้นๆ จะเป็นการเปิด-ปิดโหมด ECO ซึ่งจะช่วยลดความไวของแป้นคันเร่งไฟฟ้าลง เครื่องยนต์จะเน้นการทำงานที่รอบต่ำเพื่อลดอัตราสิ้นเปลือง แต่หากกดปุ่มค้างไว้ประมาณ 2 วินาที จะเป็นการเปิด-ปิดโหมด SPORT จะเน้นรีดพละกำลังจัดจ้านมากขึ้น โดยรอบเครื่องยนต์จะขึ้นมาค้างแถวๆ 2,500 - 3,000 รอบต่อนาที เพื่อให้สามารถสร้างแรงบิดได้ทันทีเมื่อกดคันเร่ง
ซึ่งตามความเข้าใจของคนทั่วไปคงรู้สึกว่าทั้ง 2 โหมด ต่างก็มีหลักการทำงานตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง หากเปิดโหมดหนึ่ง อีกโหมดหนึ่งก็จะหยุดการทำงานโดยอัตโนมัติ ไม่สามารถเปิดทั้ง 2 โหมดไปพร้อมๆ กันได้ แต่ Veloz สามารถทำได้หน้าตาเฉย...! ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการเปิดทั้ง 2 โหมดพร้อมกัน คือ รอบเครื่องยนต์จะพุ่งขึ้นไปรอแถวๆ 2,500 - 3,000 รอบต่อนาที เหมือนกับโหมด SPORT ปกติ แต่มีความไวของแป้นคันเร่งในแบบ ECO คือจะต้องเหยียบลึกกว่าปกติสักเล็กน้อย ซึ่งจนถึงป่านนี้เราก็ยังคิดไม่ออกว่าการเปิดทั้ง 2 โหมดไปพร้อมๆ มันมีประโยชน์อย่างไรเมื่อเทียบกับการเปิดโหมดใดโหมดหนึ่งเพียงอย่างเดียว
ขณะที่ช่วงล่างของ Toyota Veloz กลับสร้างความประทับใจได้อย่างเกินคาด เพราะจากเดิมในรุ่น Avanza ที่โยนเป็นเรือแทบทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนเลน มาคราวนี้มีการปรับปรุงให้สามารถเกาะถนนได้อย่างแน่นหนึบ และลดอาการโคลงของตัวรถได้อย่างอยู่หมัดเมื่อเทียบกับความสูงของตัวถัง ราวกับนั่งอยู่ในรถเอสยูวีที่มีช่วงล่างดีๆ คันหนึ่งเลยก็ว่าได้
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Toyota Veloz ถูกพัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์ม Daihatsu New Global Architecture (DNGA) ของไดฮัทสุ ซึ่งมีแนวทางในการพัฒนาคล้ายกับ TNGA หรือ Toyota New Global Architecture ของโตโยต้า จึงไม่แปลกที่รถรุ่นนี้สามารถทำช่วงล่างออกมาได้แน่นหนึบเกินคาด จนเรียกได้ว่าเป็นเอ็มพีวีรุ่นเล็กพิกัด 1.5 ลิตร ที่มีช่วงล่างดีที่สุดในขณะนี้เลยก็ว่าได้
แต่...! คุณงามความดีทั้งหมดที่กล่าวมาจะเกิดขึ้นในช่วงความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม.เท่านั้น เพราะหากขับเร็วเกินกว่านี้จะเริ่มมีอาการโคลงให้เห็นบ้างแล้ว โดยเฉพาะในช่วงจังหวะที่ถนนเริ่มเป็นลอน ไม่เรียบ ยิ่งถ้ามีลมปะทะด้านข้างด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งทำให้รู้สึกว่ารถมีอาการหวิวๆ ให้เห็น ต้องใช้สมาธิในการควบคุมพวงมาลัยเพิ่มมากขึ้น จึงแนะนำว่าควรใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนดจะดีกว่า
ส่วนอัตราสิ้นเปลืองตามการใช้งานจริงบนเส้นทางจาก Toyota Driving Experience บริเวณบางนา ไปจนถึงปั๊ม ปตท. คลองโคลน ซึ่งสภาพการจราจรไม่หนาแน่นนัก พบว่าหน้าจอแสดงอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 15.5 กม./ลิตร และอาจขึ้นไปแตะ 16 กม./ลิตร ปลายๆ เมื่อขับขี่แบบไม่รีบร้อน แม้ว่าตัวเลขจะต่ำกว่าที่โตโยต้าเคลมเอาไว้ แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่พอใช้ได้สำหรับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ที่ต้องรับน้ำหนักตัวถังขนาดนี้
สรุป
All-new Toyota Veloz ใหม่ ถือว่าทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ทั้งในด้านอุปกรณ์มาตรฐานที่มีให้อย่างครบครันชนิดคู่แข่งได้แต่ทำตาปริบๆ ประกอบกับการหันไปใช้เกียร์อัตโนมัติ CVT ที่ให้ความนุ่มนวลและประหยัดน้ำมันมากขึ้น แม้ว่าพละกำลังของเครื่องยนต์จะไม่ได้จัดจ้าน แต่ก็ถือว่าพอใช้งานในสไตล์รถครอบครัวราคาย่อมเยา ขณะที่ช่วงล่างเองทำได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ จนแทบลืมไปเลยว่านี่คือรถเอ็มพีวีทรงสูงกว่ารถเก๋งทั่วไป แต่การตอบสนองหลังความเร็ว 120 กม./ชม. อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นบ้าง
โดยสรุปแล้ว Toyota Veloz เหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการรถยนต์ขนาดพอเหมาะ สามารถไปไหนมาไหนได้ทั้งครอบครัว ครอบคลุมทั้งการขับขี่ไปทำงานในช่วงวันธรรมดา และขับไปเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงวันหยุด ด้วยราคาจำหน่ายรุ่นท็อปไม่ถึง 9 แสนบาท ถือได้ว่าเป็นรถที่ให้ความคุ้มค่ามากที่สุดรุ่นหนึ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งในขณะนี้
ราคาจำหน่าย All-new Toyota Veloz ใหม่
- รุ่น Smart ราคา 795,000 บาท
- รุ่น Premium ราคา 875,000 บาท (รุ่นที่ใช้ในการทดสอบ)
อัลบั้มภาพ 47 ภาพ