รีวิว Mitsubishi Xpander 2022 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ใส่เกียร์ CVT ลื่นปรื๊ดกว่าเดิม
Mitsubishi Xpander 2022 โฉมไมเนอร์เชนจ์ใหม่ เป็นอีกหนึ่งโมเดลที่หลายคนให้ความสนใจ เพราะนอกจากนี้มีรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยลงตัวยิ่งขึ้นแล้ว ยังหันไปใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT เป็นครั้งแรก ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยในเรื่องของการเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลและลดอัตราสิ้นเปลืองลง แต่ของจริงจะเป็นอย่างไรไปติดตามได้ในบทความนี้ครับ
Mitsubishi Xpander โฉมไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงาน Bangkok International Motor Show 2022 เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก่อนที่จะประกาศราคาจำหน่ายตามมาอีกครั้งในวันที่เราได้ทำการทดสอบพอดิบพอดี โดยมีราคาตัวท็อปสุด (รุ่น GT) อยู่ที่ 895,000 บาท เทียบกับคู่แข่งอย่าง Toyota Veloz ที่มีราคาตัวท็อป (รุ่น Premium) ถูกกว่ากันเล็กน้อยอยู่ที่ 875,000 บาท ทีนี้ก็ต้องมาดูกันว่า Xpander มีอะไรที่จะสู้เขาได้บ้าง
สำหรับ Mitsubishi Xpander รุ่นปี 2022 ใหม่ มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ประกอบด้วย
- รุ่น GLS-LTD
- รุ่น GT
โดยทั้ง 2 รุ่น ล้วนแต่มีห้องโดยสารแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง พร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร พ่วงเกียร์อัตโนมัติ CVT จะแตกต่างกันก็เพียงอุปกรณ์มาตรฐานติดรถทั้งภายนอกและภายในเท่านั้น
ภายนอก
แม้ว่าจะเป็นเพียงการปรับไมเนอร์เชนจ์กระตุ้นยอดขายกลางอายุตลาด แต่มิตซูบิชิก็ได้มีการปรับรูปลักษณ์ของ Xpander ในหลายส่วนจนเรียกว่าเป็นการ “บิ๊กไมเนอร์เชนจ์” เลยก็ว่าได้ ไล่มาตั้งแต่กันชนหน้า, ไฟหน้า, กระจังหน้า, ฝากระโปรงหน้า และแก้มข้างด้านหน้า ขณะที่ด้านท้ายถูกยกเครื่องใหม่เช่นกัน ทั้งไฟท้าย, ประตูท้าย, กันชนท้าย, สปอยเลอร์ ฯลฯ รวมไปถึงกาบข้างบริเวณชายประตูและล้ออัลลอย
ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ Xpander โฉมไมเนอร์เชนจ์ มีความยาวด้านหน้าเพิ่มขึ้น 75 มม. ด้านท้ายเพิ่มขึ้น 45 มม. ทั้งยังมีการปรับปรุงช่วงล่างด้านหลังด้วยการเพิ่มขนาดกระบอกโช้กอัปเพื่อเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่ แถมยังมีความสูงเพิ่มขึ้นจากเดิม 15-20 มม. ส่งผลให้มีความสูงจากพื้นถนนอยู่ที่ 220 มม. ใกล้เคียงกับรถเอสยูวี จึงสามารถรองรับการลุยน้ำท่วมหรือขับผ่านพื้นที่ทุรกันดารได้ดีกว่าเดิม
สำหรับ เอ็กซ์แพนเดอร์ รุ่น GT ที่เราได้มีโอกาสทดสอบในครั้งนี้ ถูกติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานภายนอก เช่น ไฟหน้าแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์ฮาโลเจน (ซึ่งยุคนี้ควรจะหันไปใช้ไฟหน้าแบบ LED ได้แล้ว), ไฟหรี่แบบ LED, ไฟตัดหมอกคู่หน้า, ไฟท้ายแบบ LED-illumination Tube ที่ออกแบบให้เป็นรูปทรงตัว T ดูมีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น, กระจกหน้าที่เพิ่ม Sound Insulation Film ช่วยลดเสียงรบกวน, กระจกมองข้างปรับ-พับด้วยไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว LED, ระบบปัดน้ำฝนแบบปรับตั้งหน่วงเวลา, เสาอากาศแบบครีบฉลาม และล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว หุ้มด้วยยางขนาด 205/55 R17
แม้ว่าดีไซน์ของ เอ็กซ์แพนเดอร์ ใหม่ จะถูกออกแบบให้มีความทันสมัย มีเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวและดูลงตัวกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด แต่น่าเสียดายที่มันยังคงใช้ไฟหน้าแบบฮาโลเจน แทนที่จะเป็นแบบ LED ตามสมัยนิยม แถมยังไม่มีไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (DRL) มาให้อีกต่างหาก ถ้าเทียบกับราคาจำหน่ายที่ตั้งไว้เฉียด 9 แสนบาท ก็ทำให้เอ็กซ์แพนเดอร์ลดความน่าใช้ลงไปเยอะ (แต่ทางมิตซูบิชิเองก็แอบกระซิบมาว่าปัจจุบันอยู่ระหว่างการสั่งไฟหน้าแบบ LED มาเป็นออปชันเสริมให้กับลูกค้า โดยจะเป็นการติดตั้งภายหลังที่ดีลเลอร์ ส่วนจะต้องเพิ่มเงินอีกเท่าไหร่คงต้องไปคุยกับเซลส์กันเอาเอง)
ภายใน
ภายในห้องโดยสารของ เอ็กซ์แพนเดอร์ ใหม่ ถูกปรับปรุงชนิดยกเครื่องไม่แพ้ภายนอก เพราะไม่ว่าจะเป็นแผงคอนโซลและแผงประตูล้วนแต่ถูกออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยมิตซูบิชิมุ่งเน้นให้ห้องโดยสารดูโปร่งสบาย มีความทันสมัย ควบคู่ไปกับความหรูหราน่าสัมผัสมากยิ่งขึ้น ซึ่งจุดนี้ต้องยอมรับว่ามิตซูบิชิทำออกมาได้ดี ไม่เล่นลวดลายฉูดฉาดจนเกินงามเหมือนกับรถหลายยี่ห้อ ทำให้ห้องโดยสารของเอ็กซ์แพนเดอร์ดูมีความอบอุ่น สบายตา เหมาะกับสไตล์รถครอบครัวเป็นอย่างดี
ในรุ่น GT จะถูกตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาล-ดำ ตัดกับชิ้นส่วนสีเงินในบางจุด ติดตั้งเบาะนั่งหนังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน (Heat Guard Function) ตกแต่งด้วยลวดลายตะเข็บคู่เพิ่มความพรีเมียม โดยเบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบปรับระดับด้วยมือ พร้อมกลไลปรับสูง-ต่ำฝั่งผู้ขับขี่ ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถปรับเลื่อนหน้า-หลัง เพื่อเพิ่มพื้นที่โดยสารให้กับผู้โดยสารแถวที่ 3 และสามารถปรับเบาะแยกแบบ 60:40 รวมถึงพนักพิงที่ปรับแยกได้แบบ 40:20:40 ซึ่งแปลว่าผู้โดยสารแถวที่ 2 สามารถพับส่วนที่เป็น 20 ลงมาเพื่อใช้เป็นที่วางแขน ซึ่งมีหลุมวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่งมาให้ด้วย
ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 เป็นแบบปรับพับแยก 50:50 และสามารถปรับเอนพนักพิงได้ ส่วนคุณภาพในการนั่งโดยสารต้องยอมรับว่าหากเป็นผู้โดยสารผู้ใหญ่ จะมีความรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แม้ว่าจะสามารถปรับเลื่อนเบาะนั่งแถวที่ 2 ไปทางด้านหน้าเพื่อเพิ่มพื้นที่วางขาก็ตาม ซึ่งจุดนี้พบว่า Veloz ทำได้ดีกว่านิดหน่อยในแง่การจัดการพื้นที่โดยสารแถว 3 (แต่ก็ดีกว่าเพียงนิดเดียวเท่านั้น)
ขณะที่ระบบปรับอากาศตอนหลังสำหรับผู้โดยสารแถวที่ 2 และ 3 จะถูกติดตั้งไว้เหนือเพดานบริเวณแถวที่ 2 สามารถปรับแรงลมได้ 3 ระดับ ให้ความเย็นฉ่ำทั่วทั้งห้องโดยสารแม้ในวันที่มีอากาศร้อนๆ เหมาะกับสภาพอากาศในบ้านเราเป็นอย่างดี
ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานของ Xpander รุ่น GT ก็มีให้แบบครบๆ ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยแบบ 3 ก้านหุ้มหนังดีไซน์ใหม่ สามารถปรับระดับได้ 4 ทิศทาง, เรือนไมล์แบบ High Contrast พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 4.2 นิ้ว, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Max Cool (แถมยังสามารถปรับลมให้แอร์เป่าเท้าได้ ซึ่ง Veloz ทำไม่ได้), กุญแจอัจฉริยะ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control, ระบบเบรกมือไฟฟ้าพร้อม Brake Auto Hold, ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหน้า 1 ตำแหน่ง พร้อมช่องชาร์จไฟ USB-A และ USB-C สำหรับผู้โดยสารตอนหลังอย่างละ 1 ช่อง และกล่องเก็บของขนาดใหญ่ระหว่างเบาะนั่งคู่หน้า ซึ่งสามารถใช้เป็นที่เท้าแขนได้แบบสบายๆ
ด้านระบบความบันเทิงของรุ่น GT ถูกติดตั้งหน้าจอแบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ผ่านสาย USB (ไม่มีระบบ Wireless) ขับกำลังเสียงผ่านลำโพง 6 ตำแหน่งรอบห้องโดยสาร ซึ่งคุณภาพเสียงถูกจัดอยู่ในระดับพอฟังได้เท่านั้น หากเป็นพวกหูเทพที่ต้องการแบบแยกเครื่องดนตรีได้ชัดเจน หรือชอบเบสตึ้บๆ ก็อาจขัดใจไปเสียหน่อย
ส่วนระบบความปลอดภัยก็มีให้แบบครบๆ ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ASC, ระบบป้องกันการลื่นไถล TCL, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA, ระบบเบรก ABS/EBD/BA, ระบบไฟกระพริบฉุกเฉินอัตโนมัติ ESS, ระบบไฟ Welcome Light และ Coming Home Light, ระบบล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อรถมีความเร็ว, ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยคู่หน้า, กล้องมองภาพด้านหลังขณะถอยจอด (Rear View Camera), จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX 2 ตำแหน่ง และถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ใบ เป็นต้น
น่าเสียดายที่ เอ็กซ์แพนเดอร์ ไม่มีระบบความปลอดภัยขั้นสูงประเภทระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ, ระบบตรวจจับจุดอับสายตา หรือระบบตรวจจับเส้นแบ่งเลนมาให้ แถมยังมีถุงลมนิรภัยเพียงแค่ 2 ใบเท่านั้น ซึ่งถือเป็นจุดเสียเปรียบพอสมควรเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่มีอุปกรณ์ความปลอดภัยมาให้ครบครันมากกว่า ซึ่งอันนี้คงต้องยอมรับว่า เอ็กซ์แพนเดอร์ เป็นโปรดักส์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเอาใจชาวอินโดนีเซียเป็นหลัก ซึ่งระบบความปลอดภัยอาจเป็นเรื่องรองเมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ (แต่ใน Veloz ก็ดันมีให้ทั้งถุงลม 6 ใบ, ระบบเตือนจุดอับสายตา BSM และระบบเตือนรถเคลื่อนผ่านขณะถอยหลัง RCTA นี่สิ)
เครื่องยนต์
ระบบขับเคลื่อนของ Mitsubishi Xpander ไมเนอร์เชนจ์ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะแม้ว่าจะยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร MIVEC ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที แต่ได้มีการเปลี่ยนจากเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด มาเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT (หรือที่มิตซูบิชิเรียกว่า Eco-Dynamic CVT) ส่งผลให้การเปลี่ยนเกียร์ทำได้ราบรื่นไร้รอยต่อ และช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองลงได้
นอกจากนี้ การหันไปใช้เกียร์อัตโนมัติ CVT ของ Xpander ยังส่งผลให้มีอัตราเร่งที่ฉับไวขึ้น โดยมิตซูบิชิระบุว่าสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 13.4 วินาที เทียบกับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดเดิม ที่ใช้เวลาราว 15.4 วินาที ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการทำงานของระบบเกียร์ CVT ล้วนๆ
การขับขี่
การทดสอบครั้งนี้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปยัง อ.หัวหิน บนเส้นทางที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดี โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ซึ่งมีระยะห่างของอัตราทดเกียร์ค่อนข้างกว้าง ทำให้การเปลี่ยนเกียร์ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร คราวนี้เมื่อหันมาใช้เกียร์ CVT ก็ทำให้การตอบสนองเป็นไปอย่างนุ่มนวลไร้รอยต่อ แต่ถึงกระนั้นแรงดึงของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ไร้ระบบช่วยอัดอากาศ ก็ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้รีบร้อนนัก เพราะอัตราเร่งระดับ 13-14 วินาที ก็เทียบได้กับรถระดับอีโคคาร์พิกัด 1.2 ลิตรเท่านั้นเอง เรียกว่าพอสำหรับการใช้งานโดยทั่วไป
จุดเด่นอีกอย่างของ Xpander ไมเนอร์เชนจ์ คือ ช่วงล่างที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเราจะนั่งโดยสารกันเพียง 2 คนก็ตาม ทำให้การโดยสารเป็นไปอย่างผ่อนคลายไม่ว่าจะเดินทางใกล้หรือไกล และยังถือเป็นเซ็ตติ้งที่เหมาะสมสำหรับรถครอบครัวสไตล์นี้อยู่แล้ว ขณะที่การยึดเกาะถนนก็ทำได้ดีพอประมาณ ภายใต้ข้อจำกัดของยางประหยัดน้ำมัน Bridgestone EP150 ที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน (ถ้ายอมกัดฟันเปลี่ยนเป็นยางสปอร์ตหรือยางนุ่มเงียบตัวท็อปๆ จะขับสนุกกว่านี้เยอะ เพราะช่วงล่างของ Xpander ทำมาได้ดีอยู่แล้ว)
เดิมที Xpander ก็เป็นรถเอ็มพีวีระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ที่โดดเด่นในการความเงียบของห้องโดยสารอยู่แล้ว แต่ในรุ่นไมเนอร์เชนจ์มีการปรับปรุงเพื่อลดเสียงรบกวนยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นการใช้กระจกบังลมหน้าแบบป้องกันเสียงรบกวน ที่มีฟิล์มชนิดพิเศษอยู่ในเนื้อกระจก ทำให้เสียงลมปะทะจากด้านหน้าเบาลง ทั้งยังเพิ่มวัสดุป้องกันเสียงรบกวนบริเวณประตู, หลังคา และพื้นห้องโดยสาร ช่วยป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดีกว่าเดิม
สรุป
Mitsubishi Xpander ใหม่ มีการปรับปรุงดีขึ้นกว่าเดิมในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยมากขึ้น การหันไปใช้เกียร์อัตโนมัติ CVT ก็ช่วยให้สมรรถนะดีขึ้นกว่าเกียร์ 4 สปีดเดิมอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงการเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น เบาะนั่งหุ้มหนังสะท้อนความร้อน, ระบบเบรกมือไฟฟ้าพร้อม Brake Auto Hold รวมถึงของกระจุกกระจิกต่างๆ ก็ช่วยให้ Xpander ไมเนอร์เชนจ์มีความน่าใช้ขึ้นกว่าเดิม
แต่ถึงกระนั้น หากมองในแง่อุปกรณ์มาตรฐานติดรถของ Xpander ก็อาจด้อยกว่าคู่แข่งไปบ้าง แถมยังมีราคาจำหน่ายตัวท็อปขึ้นไปเกือบจะแตะ 9 แสนบาท ก็คงขึ้นอยู่กับคุณผู้อ่านแล้วว่าจะพิจารณาจุดใดเป็นสำคัญในการเลือกรถคันใหม่ของคุณเอง
ราคาจำหน่าย Mitsubishi Xpander 2022 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่
- รุ่น GLS-LTD ราคา 799,000 บาท
- รุ่น GT ราคา 895,000 บาท
อัลบั้มภาพ 46 ภาพ