รีวิว ORA Good Cat GT ใหม่ เวอร์ชันสปอร์ต 171 แรงม้า ออปชันแน่นกว่าเดิม
รีวิว ORA Good Cat GT ใหม่ เวอร์ชั่นสปอร์ตพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 171 แรงม้า ใส่ชุดแต่งเต็มจากโรงงานทั้งภายนอกและภายใน พ่วงอุปกรณ์มาตรฐานและระบบความปลอดภัยแน่นขึ้นกว่ารุ่น 500 ULTRA ส่วนของจริงจะเป็นอย่างไรติดตามได้ในบทความนี้ครับ
ORA Good Cat รุ่น GT เป็นรถยนต์ไฟฟ้าอีกหนึ่งรุ่นที่หลายคนเฝ้ารอ เพราะปัจจุบันทางเกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเทศไทย ได้ยุติการรับจอง ORA Good Cat รุ่นปกติ (400 Tech, 400 Pro และ 500 ULTRA) ลงชั่วคราว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการประกาศลดราคาจำหน่ายรอบสองจากการปรับลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% ส่งผลให้รุ่นท็อปสุดมีราคาเหลือไม่ถึง 1 ล้านบาท แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องรอทาง เกรท วอลล์ มอเตอร์ เคลียร์ยอดรอส่งมอบที่ผ่านมาให้ได้เสียก่อน จึงค่อยเริ่มกลับมาเปิดรับจองจากลูกค้ากันอีกครั้ง ซึ่งปัญหาหลักคงหนีไม่พ้นการขาดแคลนชิปที่จำเป็นต่อการผลิตรถยนต์ทั่วโลกนั่นเอง
ดังนั้น ORA Good Cat GT ที่จะประกาศราคาจำหน่ายในวันที่ 29 มิถุนายน 2565 นี้ จึงเป็นเพียงทางเลือกเดียวสำหรับผู้ที่อยากได้น้อง “แมวดี” มาครอบครอง
สำหรับ ORA Good Cat GT ในประเทศไทยจะถูกวางให้เป็นรุ่นท็อปสุดเหนือกว่า 500 ULTRA ในปัจจุบัน ด้วยพละกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าที่สูงกว่า และอุปกรณ์มาตรฐานที่ถูกเพิ่มเติมจากรุ่น 500 ULTRA จึงคาดว่าราคาจำหน่ายในประเทศไทยจะสูงขึ้นอีกหนึ่งสเต็ปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (แม้ว่ารุ่น GT ในประเทศจีนจะมีระดับราคาใกล้เคียงกับรุ่นปกติก็ตาม แถมยังมีแบตเตอรี่ให้เลือกถึง 2 ขนาดอีกด้วย)
ภายนอก
ดีไซน์ภายนอกของ ORA Good Cat GT ถูกตกแต่งเน้นความสปอร์ตเต็มพิกัดทั้งภายนอกและภายใน ช่วยให้ภาพลักษณ์โดยรวมดูมีความเป็นผู้ชายมากขึ้น แต่ก็ยังเข้ากันได้ดีกับคุณผู้หญิงที่มีบุคลิกเท่ๆ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยตัวถังภายนอกของเวอร์ชันไทยจะมีให้เลือกเฉพาะตัวถังสีเทา Aqua Grey เท่านั้น ซึ่งมีลักษณะเป็นสีเทาพาสเทล หรือ เทานม ที่หลายคนชอบเรียกกัน ตัดกับชุดแต่งคาร์บอนสลับกับสีแดงได้อย่างลงตัว
ชุดแต่งภายนอกของ ORA Good Cat GT ประกอบด้วย กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ที่ออกแบบให้มีแผงสีดำคาร์บอนเคฟลาร์คล้ายกับช่องดักลมอยู่บริเวณปลายกันชนทั้งสองข้าง เสริมด้วยลิ้นกันชนสีแดง และสเกิร์ตหน้าลายคาร์บอนเคฟลาร์ ไล่ยาวต่อเนื่องตั้งแต่ซุ้มล้อไปจรดกันชนท้าย ขณะที่กันชนท้ายถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายดิฟฟิวเซอร์ขนาดใหญ่ เสริมความโดดเด่นด้วยครีบสีแดง ช่วยให้มีรูปลักษณ์แตกต่างจากรุ่นปกติแม้มองจากระยะไกล
บริเวณเหนือประตูท้ายยังถูกติดตั้งสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งด้วยสีแดง พร้อมสัญลักษณ์ GT บริเวณปลายทั้งสองข้าง โดยรุ่น GT ถูกติดตั้งล้ออัลลอยดีไซน์เฉพาะรุ่นขนาด 18 นิ้ว ตกแต่งก้านล้อด้วยสีแดง หุ้มด้วยยาง Giti Comfort 225 V1 ขนาด 215/50 R18 รวมถึงคาลิเปอร์เบรกสีแดงที่แอบอยู่ด้านใน
ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานอื่นก็มีให้แบบครบๆ เช่นเดียวกับรุ่น 500 ULTRA ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบ Intelligent LED Headlamp ที่มีระบบเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ, ระบบไฟ Welcome Light แบบพิเศษ, ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ, ไฟส่องนำทางหลังดับรถยนต์ รวมถึง Daytime Running Light แบบ LED ช่วยเพิ่มความโดดเด่นขณะขับขี่ในเวลากลางวัน
ในรุ่น GT ยังมาพร้อมหลังคาพาโนรามิกซันรูฟเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า รวมถึงได้เพิ่มออปชันที่หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอ นั่นคือ ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชันแฮนด์ฟรี เพียงพกกุญแจไว้กับตัว แล้วสอดเท้าเข้าไปบริเวณใต้กันชนหนึ่งครั้ง ประตูท้ายก็จะค่อยๆ ยกตัวขึ้นโดยอัตโนมัติ แถมยังสามารถสั่งปิดด้วยระบบแฮนด์ฟรีได้เช่นเดียวกัน หรือจะกดปุ่มบริเวณฝาท้ายก็ย่อมได้
ภายใน
ห้องโดยสารของรุ่น GT ถูกตกแต่งด้วยโทนสีดำ-แดง เสริมความพิเศษยิ่งขึ้นด้วยสัญลักษณ์ ติดตั้งเบาะนั่งหุ้มหนังแบบมีรูระบายอากาศ พร้อมสัญลักษณ์ GT สีแดงบริเวณพนักพิงศีรษะทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพิ่มความจี๊ดจ๊าดยิ่งขึ้นด้วยสายเข็มขัดนิรภัยสีแดงทุกที่นั่ง (น่าจะถูกใจคนที่ชอบเซลฟี่ในรถไม่น้อยเชียวล่ะ) ขณะที่รูปทรงและการตัดเย็บตัวเบาะยังคงเหมือนกับรุ่น 500 ULTRA ทุกประการ
ถึงกระนั้น เบาะนั่งของรุ่น GT ก็เหนือกว่ารุ่น 500 ULTRA ด้วยระบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางฝั่งผู้ขับขี่ และปรับไฟฟ้า 4 ทิศทางฝั่งผู้โดยสาร เสริมด้วยระบบนวดผ่อนคลายและระบบระบายอากาศในตัวเบาะ (Seat Ventilation) ทั้งสองข้าง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสภาพอากาศอันร้อนระอุของเมืองไทย ยิ่งถ้าใครเหนื่อยล้าจากการทำงาน ขึ้นรถมาเปิดระบบนวดแล้วล่ะก็ รับรองว่าเพลินลืมเชียวล่ะ เพราะระบบนวดของ ORA Good Cat GT ถือว่าแรงกว่าที่พบในรถหลายรุ่น เรียกว่าแรงระดับน้องๆ เก้าอี้นวดตามบ้านเลยก็ว่าได้
ส่วนฟังก์ชันจดจำตำแหน่งเบาะนั่ง และระบบ Welcome Seat ยังคงถูกสงวนไว้สำหรับเบาะนั่งฝั่งผู้ขับขี่เท่านั้น นอกจากนี้ กระจกแต่งหน้าบริเวณแผงกันแดดทั้งสองฝั่งยังถูกเพิ่มไฟส่องสว่างแบบ LED มาให้ ซึ่งออกแบบให้มีลักษณะเป็นกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมกระจกเอาไว้ ดูสวยงามลงตัวใช่เล่น (แต่ก็ไม่รู้ว่าแสงไฟจะแยงตาในที่มืดมากน้อยแค่ไหน เพราะเท่าที่ดูก็ถือว่าสว่างไม่เบาทีเดียว)
ขณะที่อุปกรณ์มาตรฐานอื่นก็มีให้เช่นเดียวกับรุ่น 500 ULTRA ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ Interactive Double Screen ที่ประกอบไปด้วยจอแสดงข้อมูลการขับขี่ Full TFT ขนาด 7 นิ้ว และจออินโฟเทนเมนท์ระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ซึ่งรวบรวมเอาการตั้งค่าใช้งานต่างๆ ของตัวรถมาไว้บนหน้าจอดังกล่าวแทบทั้งหมด นับตั้งแต่ระบบเครื่องเสียง, ระบบปรับอากาศ ไปจนถึงระบบควบคุมการขับขี่ต่างๆ ส่วนปุ่มสีเงินจำนวน 4 ปุ่ม ที่ขนาบปุ่มไฟฉุกเฉิน เอาไว้สำหรับเปิด-ปิดระบบปรับอากาศ, เปิด-ปิด A/C และเปิด-ปิดระบบไล่ฝ้าหน้า/หลังเท่านั้น
นอกจากนี้ ระบบอินโฟเทนเมนท์ของ ORA Good Cat GT ยังคงสามารถรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ผ่านสาย USB ได้ มีระบบนำทางมาให้ในตัว พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียงแบบ AI ที่รองรับคำสั่งเสียงภาษาไทย รองรับการใช้งานแอปพลิเคชันฟังเพลงอย่าง JOOX รวมถึงรองรับการเชื่อมต่อระยะไกลผ่านแอปพลิเคชัน GWM Application ที่ช่วยให้เจ้าของรถสามารถตรวจสอบสถานะการชาร์จ, ควบคุมการชาร์จ, เปิด-ปิดระบบปรับอากาศ, ปิดหน้าต่าง ฯลฯ ผ่านทางสมาร์ทโฟนของตนเองได้
บริเวณแผงคอนโซลกลางระหว่างเบาะนั่งคู่หน้ายังคงออกแบบเน้นความเรียบง่ายด้วยหัวเกียร์แบบ Electronic Shifter ใกล้กันเป็นปุ่มควบคุมระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชัน Auto Hold รวมถึงที่ชาร์จแบบไร้สาย (Wireless Charger) ช่วยเพิ่มความสะดวกในการชาร์จมือถือ ไม่ต้องเสียบสายให้วุ่นวาย แต่ถึงแม้ว่าจะมีแผ่นกันลื่นติดตั้งมาให้ แต่ถ้าเป็นมือถือที่มีขนาดเล็กหน่อย เช่น iPhone รุ่นที่ไม่ใช่ตระกูล Max ก็อาจมีเลื่อนไถลจนทำให้หยุดชาร์จไปดื้อๆ เนื่องจากตัวโทรศัพท์หลุดออกจากตำแหน่งชาร์จนั่นเอง
ส่วนห้องโดยสารของ ORA Good Cat GT ยังคงความโอ่อ่าเกินกว่าที่คิดเมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ภายนอก สามารถรองรับผู้โดยสาร 5 ที่นั่งได้อย่างสบาย แถมยังมีพื้นที่วางขาตอนหลังมาให้แบบเหลือๆ โดยไม่มีอุโมงค์เพลามาเบียดเบียนพื้นที่ห้องโดยสาร แต่น่าเสียดายที่พนักพิงด้านหลังยังคงไม่สามารถปรับเอนใดๆ ได้เลย ถึงกระนั้นก็ยังถือว่าสามารถนั่งโดยสารได้แบบสบายๆ ไม่อึดอัด เมื่อเทียบกับรถในพิกัดเดียวกัน
ด้านระบบช่วยเหลือการขับขี่และระบบความปลอดภัยก็ยังคงแน่นเอี๊ยดมาให้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) พร้อมระบบการเข้าโค้งอัจฉริยะ ที่สามารถปรับลดความเร็วอัตโนมัติก่อนเข้าโค้งเพื่อเพิ่มความปลอดภัย และเมื่อขับผ่านโค้งไปแล้วก็จะกลับมายังความเร็วที่ตั้งไว้โดยอัตโนมัติ, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI) ที่สามารถตรวจจับรถที่วิ่งสวนมาในขณะที่กำลังจะเลี้ยว และจะเบรกให้อัตโนมัติหากมีความเสี่ยงต่อการชน
นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) ที่สามารถจดจำระยะการขับขี่ 50 เมตรสุดท้าย (ด้วยความเร็วต่ำกว่า 30 กม./ชม.) และสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชันดังกล่าวเพื่อให้รถถอยหลังตามเส้นทางเดิมอย่างช้าๆ โดยอัตโนมัติสูงสุด 50 เมตร แต่หากระบบตรวจพบว่ามีสิ่งกีดขวางเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนเดินถนน หรือรถยนต์ ระบบจะตัดการทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัย
ขณะที่ระบบช่วยเหลือการขับขี่อื่นๆ ยังประกอบไปด้วย
- กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา
- ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ 3 รูปแบบ (IPP)
- ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS)
- ไฟหน้า Intelligent LED Headlamp เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ
รวมถึงระบบการช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยสำหรับการขับขี่แบบอัตโนมัติในระดับ L2+ เชิงป้องกัน (Active Safety) ประกอบด้วย
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (ICA)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA)
- การเบรกฉุกเฉินความเร็วต่ำ (LSEB)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
- ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK)
- การเข้าโค้งอัจฉริยะ (Intelligent Turn)
- ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA)
- ระบบตรวจความดันลมยาง (TPMS)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA)
- ระบบช่วยเตือนความเมื่อยล้าขณะขับขี่ (DFM)
ขุมพลัง
นอกจากที่ ORA Good Cat GT จะมาพร้อมชุดแต่งเพิ่มความสปอร์ตแล้วนั้น ยังมีการอัปเกรดเพิ่มพละกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้นด้วย โดยรุ่น GT มีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 171 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร (รุ่น 500 ULTRA มีกำลังสูงสุด 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร) สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 8.5 วินาที (ซึ่งแว่วมาว่ามีสื่อมวลชนบางท่านสามารถทำได้ 7 วินาทีปลายๆ เลยทีเดียว) เทียบกับรุ่น 500 ULTRA ที่ใช้เวลา 9.2 วินาที
นอกจากนี้ ในรุ่น GT ยังมีระบบ Launch Control คล้ายกับที่พบในรถสปอร์ตสมรรถนะสูงมาให้ด้วย ซึ่งการ Activate ก็ทำได้ไม่ยาก เพียงแค่เปิดโหมด Sport ผ่านปุ่มเลือกโหมดบริเวณด้านขวามือของพวงมาลัย จากนั้นให้ปิดการทำงานของระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP บนหน้าจอ เหยียบแป้นเบรกจนสุด แล้วเหยียบคันเร่งประมาณ 3/4 ของระยะทั้งหมด หน้าจอจะแสดงคำว่าระบบพุ่งตัวทำงาน จากนั้นเมื่อปล่อยเท้าออกจากแป้นเบรก รถจะพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ซึ่งความแปลกของระบบ Launch Control ใน ORA Good Cat GT คือ ผู้ขับขี่จะต้องเหยียบคันเร่งไม่เกิน 3 ใน 4 ของระยะแป้นคันเร่งทั้งหมด เพราะหากเหยียบแบบจมมิดเหมือนที่ทำในรถรุ่นอื่นๆ ที่มีระบบ Launch Control แล้วล่ะก็ แทนที่รถจะพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วหลังจากปล่อยเท้าออกจากเบรก แต่ ORA Good Cat GT กลับเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็ว 1 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น...! ผมพิมพ์ไม่ผิดหรอกครับ หนึ่งกิโลเมตรต่อชั่วโมงจริงๆ เพราะต่อให้เหยียบแช่จนตายมันก็ไม่เกิน 2 กม./ชม. อยู่ดี มาจนถึงตอนนี้ผมเองก็ยังคิดไม่ออกว่าทำไมระบบ Launch Control ของ Good Cat GT จึงถูกเซ็ตมาแบบนั้น
การขับขี่
เดิมทีอัตราเร่งของ ORA Good Cat รุ่น 500 ULTRA ที่เราเคยทดสอบก่อนหน้านี้ก็ถือว่าน่าประทับใจมากแล้ว แต่การตอบสนองของรุ่น GT ก็ทำได้ดีขึ้นอีกสักราว 10-15% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแรงบิดทั้ง 250 นิวตัน-เมตร หลั่งไหลมาแทบจะในทันทีที่กดคันเร่ง เมื่อใดก็ตามที่เหยียบคันเร่งแบบจมมิดในจังหวะออกตัวแล้วล่ะก็ ล้อคู่หน้าจะมีอาการหมุนฟรีชนิดที่ระบบ Traction Control ก็แทบเอาไม่อยู่ คอยส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดให้สะท้านใจเล่น
ส่วนประสิทธิภาพการเร่งแซงก็ทำได้น่าประทับใจเช่นกัน เพราะเท่าที่ลองขับบนทางด่วนบูรพาวิถีดูนั้น ผมสามารถเร่งแซงรถคันหน้าได้อย่างรวดเร็วทันใจ ไม่ต้องรอรอบเหมือนกับรถสันดาปทั่วไป กดเมื่อไหร่เป็นพุ่งเมื่อนั้น เรียกว่ามีพละกำลังให้ใช้อย่างเหลือเฟือ เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป แถมช่วงล่างยังหนักแน่นและมั่นใจมากพอที่จะซอกแซกไปตามการจราจรได้อย่างสบาย แม้ว่ารุ่น GT จะถูกเซ็ตช่วงล่างเหมือนกับรุ่นปกติทุกประการ
ในด้านการเก็บเสียงก็ถือว่าดีใช้ได้ จะมีเสียงลมทางด้านข้างเล็ดลอดเข้ามาบ้างก็ต่อเมื่อใช้ความเร็วมากกว่า 100 กม./ชม. ขึ้นไป แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สามารถพูดคุยสนทนากับคนข้างๆ ได้แบบไม่ต้องเร่งเสียง ถือเป็นรถที่มอบความผ่อนคลายได้ดีไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองหรือนอกเมือง
ส่วนระยะทางขับขี่ของแบตเตอรี่ก็ถือว่าไม่ด้อยไปกว่ารุ่น 500 ULTRA เท่าใดนัก เพราะก่อนผมออกเดินทางจากโชว์รูม GWM ย่านบางนา มีแบตเตอรี่คงเหลืออยู่ที่ 99% หน้าจอแสดง Range ที่เหลือประมาณ 492 กิโลเมตร ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเอาแบบง่ายๆ เท่าที่ทดสอบนั้นพบว่า ระยะทางจากอ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี กลับถึงโชว์รูมย่านบางนาประมาณ 84 กิโลเมตร ใช้แบตเตอรี่ไปประมาณ 20% (จาก 65% เหลือ 45% เมื่อมาถึงจุดหมาย) ซึ่งเป็นตัวเลขบนพื้นฐานความเร็วที่ใช้งานจริง มีการทำท็อปสปีดและเร่งแซงหลายต่อหลายครั้ง ดังนั้น หากขับขี่ในชีวิตประจำวันตามปกติน่าจะเห็นตัวเลขไม่ต่ำกว่า 400 - 420 กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้งอย่างแน่นอน
สรุป
ORA Good Cat GT เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่อยากได้รถยนต์ไฟฟ้าตอบโจทย์ช่วงน้ำมันแพงแสนแพงเช่นนี้ ด้วยรูปลักษณ์ที่เน้นความสปอร์ตแบบเต็มพิกัด ผู้หญิงขับก็เท่ ผู้ชายขับก็ไม่เคอะเขิน พ่วงด้วยอุปกรณ์มาตรฐานที่จัดให้ครบครันกว่ารุ่น 500 ULTRA โดยมีราคาจำหน่ายหลังหักเงินสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าจากรัฐบาลเหลือ 1,286,000 บาท (ราคาก่อนหักส่วนลดอยู่ที่ 1,549,000 บาท)
อัลบั้มภาพ 58 ภาพ