เผยโฉม MG EP 2023 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ปรับดีไซน์โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นในอังกฤษ

     MG5 EV รุ่นไมเนอร์เชนจ์ใหม่ (หรือ MG EV ในประเทศไทย) ถูกเผยโฉมครั้งแรกในสหราชอาณาจักรที่งาน Goodwood Festival of Speed 2022 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยยังไม่มีกำหนดการวางจำหน่ายออกมาในขณะนี้

MG5 EV ในงาน Goodwood Festival of Speed 2022

     จากภาพที่ปรากฏแสดงให้เห็นว่า MG5 EV / MG EP โฉมไมเนอร์เชนจ์ใหม่ มีการปรับปรุงดีไซน์ด้านหน้าให้ดูทันสมัยและมีความเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าที่ออกแบบให้ดูเพรียวบางลง พร้อมแถบตกแต่งสีดำที่เชื่อมไฟหน้าทั้งสองข้างเข้าไว้ด้วยกัน เสริมด้วยดีไซน์กันชนหน้าที่ถูกปรับปรุงใหม่ทั้งหมด โดยยังคงออกแบบให้มีช่องชาร์จไฟอยู่บริเวณด้านหน้ารถ เสริมด้วยล้ออัลลอยสีทูโทนดีไซน์ใหม่

     แม้ว่าเอ็มจีแห่งสหราชอาณาจักร จะยังไม่เปิดเผยรายละเอียดให้เห็นส่วนท้ายของตัวรถ แต่ในเวอร์ชันยุโรปที่เปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่ามีการปรับปรุงไฟท้ายแบบ LED ให้ส่องสว่างเป็นรูปตัว Y ควบคู่ไปกับการปรับตำแหน่งของไฟเลี้ยวและไฟถอยหลัง รวมถึงกันชนท้ายที่มีเส้นสายที่ดูโค้งมนมากยิ่งขึ้น สามารถเลือกตัวถังได้ทั้งหมด 4 สี ประกอบด้วย สีขาว Dover White, สีดำ Pebble Black, สีแดง Diamond Red และสีเงิน Medal Silver

     สำหรับขุมพลังของ MG5 EV ในตลาดยุโรปมีให้เลือกทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ Standard Range ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 177 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 50.3 kWh สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางราว 320 กิโลเมตรต่อหนึ่งชาร์จ (ตามมาตรฐาน WLTP) ส่วนอีกรุ่นเป็น Long Range ที่ลดกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าลงเหลือ 156 แรงม้า แต่เพิ่มขนาดแบตเตอรี่ใหญ่ขึ้นเป็น 61.1 kWh สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 400 กิโลเมตรเมื่อชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม

     อย่างไรก็ดี ทั้งรุ่น Standard Range และ Long Range มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เท่ากันอยู่ที่ 8.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 185 กม./ชม. รวมถึงสามารถรองรับการชาร์จด่วนแบบ DC จาก 5-80% ภายในระยะเวลา 40 นาที

     ส่วนบ้านเรายังไม่มีกำหนดการเปิดตัว MG EP รุ่นไมเนอร์เชนจ์ออกมาในขณะนี้ แต่ปัจจุบันเอ็มจีประเทศไทยได้ประกาศหยุดรับจองรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากกำลังการผลิตที่เป็นไปอย่างจำกัด ประกอบกับการปรับลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% ส่งผลให้ราคาจำหน่ายลดลงทันทีรุ่นละ 227,000 บาท จึงทำมีลูกค้าแห่จองเข้ามาเป็นจำนวนมากสวนทางกับปริมาณการผลิต