ลองขับ Audi Q3 Sportback ใหม่ เที่ยวสุพรรณบุรีในกิจกรรม “Audi Blissful Trip”
ลองขับ Audi Q3 Sportback ใหม่ ภายใต้กิจกรรม Audi Blissful Trip บนเส้นทาง กรุงเทพฯ - สุพรรณบุรี พร้อมขบวนรถ Audi หลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Audi TT Coupé, Audi A5 Coupé, A5 Sportback และ Audi Q3 SUV จำนวนกว่า 10 คัน
สำหรับ Audi Q3 Sportback ที่ Sanook Auto ได้มีโอกาสทดสอบขับในครั้งนี้เป็นรุ่น Q3 Sportback 40 TFSI quattro S line Black Edition ซึ่งถือเป็นตัวท็อปสุดในตระกูล Q3 และ Q3 Sportback ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย โดยนอกจากจะมีจุดเด่นอยู่ที่ตัวถังสไตล์ Sportback ที่ให้ความรู้สึกสปอร์ตมากกว่าปกติแล้วนั้น ยังมาพร้อมชุดแต่ง S line ทั้งภายนอกและภายใน ทั้งยังเสริมด้วยชุดแต่ง Black Edition สร้างความแตกต่างยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่น S line ปกติ
โดยชุดแต่ง Black Edition ที่ว่านี้เป็นชุดแต่งภายนอกสีดำ ประกอบด้วย กระจังหน้าสีดำ, ขอบหน้าต่างประตูสีดำ, กรอบช่องดักลมด้านหน้าสีดำ, ฝาครอบกระจกมองข้างสีดำ ฯลฯ พร้อมด้วยล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว หุ้มด้วยยางขนาด 255/40 R20 เหมือนกันทั้งสี่ข้าง
นอกจากนี้ ในรุ่น Q3 Sportback 40 TFSI quattro S line Black Edition ยังมาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานภายนอก ได้แก่ ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED พร้อมไฟเลี้ยวด้านหลังแบบ Dynamic, ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED, กระจกมองข้างปรับ-พับไฟฟ้า พร้อมระบบไล่ฝ้า, ระบบเปิด-ปิดประตูท้ายโดยไม่ต้องใช้มือ, ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าและปัดน้ำฝนอัตโนมัติ เป็นต้น
ขณะที่ห้องโดยสารถูกติดตั้งเบาะนั่งคู่หน้าแบบ Sports หุ้มวัสดุหนัง ประดับด้วยสัญลักษณ์ S line สามารถปรับด้วยไฟฟ้าคู่หน้า พร้อมระบบดันหลัง, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตท้ายตัด ประดับสัญลักษณ์ S line พร้อมแป้น Paddle shift, จอแสดงข้อมูลการขับขี่ Virtual cockpit ขนาด 10.25 นิ้ว, ระบบ MMI Radio Plus พร้อมหน้าจอแบบสัมผัส MMI Touch ขนาด 8.8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth และ USB, ระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน Audi smartphone interface, ลำโพง 6 ตำแหน่ง, ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแยกอิสระ 2 โซน และไฟเรืองแสงภายในห้องโดยสารสีขาว (Lighting package) เป็นต้น
นอกจากนี้ Audi Q3 Sportback 40 TFSI quattro S line Black Edition ยังมีระบบกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยจอด ทำงานคู่กับเซ็นเซอร์กะระยะทั้งด้านหน้าและด้านท้าย พร้อมด้วยระบบเบรกมือไฟฟ้าที่มีฟังก์ชันล็อกเบรกขณะหยุดนิ่ง (Audi hold assist) ส่วนระบบความปลอดภัยมาตรฐานอื่นๆ มีให้แบบครบครันตามฉบับรถยุโรปหรู ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมการทรงตัว ESC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS, ระบบเบรก ABS/EBD, ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill descent control), ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย เป็นต้น
ด้านขุมพลังของ Q3 Sportback 40 TFSI quattro (รวมไปถึง Q3 40 TFSI quattro) เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียงเทอร์โบชาร์จ ความจุ 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 3,900 - 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400 - 3,940 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ S tronic 7 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ที่มีให้เฉพาะรุ่นเครื่องยนต์รหัส 40 TFSI เท่านั้น
อาวดี้ระบุอัตราเร่งของ Q3 Sportback 40 TFSI quattro S line Black Edition จาก 0-100 กม./ชม. เอาไว้ที่ 7.8 วินาที และความเร็วสูงสุดทำได้ 220 กม./ชม. ซึ่งถือว่าแรงเหลือเฟือสำหรับรถเอสยูวีขนาดกะทัดรัดที่ถูกออกแบบมาเพื่อเน้นความคล่องตัวทั้งในเมืองและนอกเมืองเช่นนี้
สำหรับการขับขี่ของ Audi Q3 Sportback 40 TFSI quattro S line Black Edition คันนี้ต้องบอกว่าสมรรถนะของเครื่องยนต์อาจไม่ใช่ที่สุดนัก แม้ว่าจะมีกำลังสูงสุดถึง 180 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร แต่ด้วยตัวถังแบบเอสยูวีพร้อมล้อขนาดใหญ่ถึง 20 นิ้ว ทำให้แรงดึงทั้งจังหวะออกตัวและจังหวะเร่งแซงแอบผิดคาดไปสักเล็กน้อย ถึงกระนั้นมันก็ยังให้พละกำลังเหลือเฟือเพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป
แต่จุดเด่นที่เรียกได้ว่าทำได้ดีจนน่าทึ่ง เห็นจะเป็นช่วงล่างที่ปราบถนนเมืองไทยได้อย่างอยู่หมัด เพราะแม้ว่าช่วงล่างของ Q3 Sportback จะมีความสูงมากกว่ารถเก๋งทั่วไป แต่กลับให้ความรู้สึกราวกับรถเก๋งคอมแพ็คช่วงล่างเยี่ยมคันหนึ่งเลยทีเดียว สามารถเก็บอาการโคลงได้อย่างดีเยี่ยมในทุกการเข้าโค้ง เสริมด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าเป็นรถเอสยูวีที่ขับสนุกและคล่องตัวมากที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดเลยก็ว่าได้
ในด้านการซับแรงสะเทือนจากพื้นถนนต้องยอมรับว่าช่วงล่างของรถรุ่นนี้ถูกออกแบบเน้นความสปอร์ตเป็นหลัก การขับขี่ผ่านถนนที่มีพื้นผิวขรุขระจึงรับรู้ได้ถึงแรงสะเทือนที่ส่งเข้ามายังห้องโดยสาร แต่ด้วยคุณภาพของวัสดุและการประกอบก็สามารถเก็บเสียงตึงตังของช่วงล่างได้เป็นอย่างดี ทำให้การขับขี่รู้สึกสมูธขึ้นพอสมควร ทั้งหมดนี้ก็แลกมาด้วยช่วงล่างที่ขับสนุกควบคู่ไปกับความสบายในการโดยสารพอประมาณ
นอกจากการขับขี่ทดสอบแล้วนั้น ทริปนี้เรายังได้พูดคุยกับผู้บริหารถึงความสำเร็จที่ผ่านมา และแผนการตลาดในอนาคตของ อาวดี้ ประเทศไทย โดย นายกฤษณะกร เศวตนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมซ์สเตอร์ เทคนิค จำกัด กล่าวว่า “ยอดขายเติบโตขึ้นทุกปี รวมถึงผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของปี 2022 และยอดขายสะสมในไตรมาสที่ 2 ที่มีแนวโน้มเป็นไปตามเป้าที่วางไว้นั้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จเกิดจากยอดจำหน่ายมากกว่า 70% จากรถรุ่นยอดฮิตอย่าง Audi TT Coupé, A5 Coupé, A5 Sportback, Q3 และ Q3 Sportback ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคในประเทศไทยเป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมากับอาวดี้ยุคใหม่ภายใต้ “ไมซ์สเตอร์ เทคนิค” พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในประเทศไทย”
“ความพิเศษไม่เหมือนใครด้านผลิตภัณฑ์ของอาวดี้ คือ รถยนต์คุณภาพนำเข้าทั้งคันในราคาที่จับต้องได้ ดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ เทคโนโลยีล้ำสมัย และสมรรถนะที่ลงตัวการใช้ชีวิตในเมือง ทำให้อาวดี้ตอบโจทย์ลูกค้าในเซกเมนต์พรีเมียมได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นไอคอนยอดฮิตตลอดกาล ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ โดดเด่นไม่เหมือนใครอย่าง Audi TT Coupé ที่เรารุกทำตลาดอย่างต่อเนื่อง สปอร์ตคาร์อย่าง A5 Coupé และ A5 Sportback ในราคาเร้าใจ และเซกเมนต์ Compact SUV ที่ผู้บริโภคในประเทศไทยชื่นชอบความอเนกประสงค์พร้อมลุคสปอร์ตโฉบเฉี่ยว เราก็มี Q3 และ Q3 Sportback”
“วันนี้ Product portfolio ของเรามีความแข็งแกร่ง หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าครอบคลุมในทุกความต้องการ แม้จะอยู่ในสถานการณ์เซมิคอนดักเตอร์ขาดแคลนทั่วโลก เราทำงานร่วมกับ AUDI AG อย่างใกล้ชิด และได้รับการสนับสนุนด้านการวางแผนการผลิต การจัดสรรโควต้า ทำให้ อาวดี้ ประเทศไทย มีรถพร้อมส่งมอบตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในรุ่นยอดฮิตอย่าง A5, Q3 และ TT ที่มีเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าในประเทศไทย”
“อีกหนึ่งจุดแข็ง นโยบายชูบริการนำขาย สร้างฐานแบรนด์ให้แข็งแกร่งทั้งกับลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ ทำให้อาวดี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี คุณภาพของทุกศูนย์บริการมาตรฐานเดียวกับ AUDI AG ราคาอะไหล่จับต้องได้ พร้อมการรับประกันคุณภาพ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร ให้กับลูกค้าอาวดี้ทุกคัน งานบริการหลังการขายพิสูจน์ชัดว่าวันนี้ อาวดี้ ประเทศไทย เดินมาถูกทาง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย ครบวงจรตามมาตรฐานของ AUDI AG เข้ามาใช้ในส่วนงานบริการหลังการขาย การลงทุนด้านบุคลากร ทั้งงานบริการลูกค้าสัมพันธ์ วิศวกร และทีมช่างเทคนิค เหนือกว่าความพึงพอใจและความภูมิใจในการบริการหลังการขาย คือ การที่ลูกค้าได้รับประสบการณ์ใหม่ที่ประทับใจจากการบริการหลังการขาย ด้านการขยายเครือข่ายโชว์รูม วันนี้เรารุกขยายเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค”
ทั้งนี้ รถยนต์ Audi ทุกรุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทยถูกประกอบขึ้นจากโรงงานในยุโรป โดยลูกค้าที่ออกรถใหม่จะได้รับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน รถยนต์ไฟฟ้า 100% และรถยนต์ Plug-in Hybrid TFSI e ใหม่ ทุกรุ่นรับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี ลูกค้าอาวดี้สามารถมั่นใจกับงานบริการหลังการขาย ซึ่งมีมาตรฐานคุณภาพเดียวกันทุกสาขา
ส่วนอนาคต Audi Thailand จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่อะไรอีกต้องติดตามกันให้ดี
อัลบั้มภาพ 22 ภาพ