Toyota Yaris ATIV อีโคคาร์น่าใช้ที่สุดแห่งปี 2565 นี้
แม้ว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังมาแรงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ต้องยอมรับว่าตลาดรถยนต์อีโคคาร์ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงจากลูกค้าชาวไทย จนถือได้ว่าเป็นเซกเมนต์ขนาดใหญ่ที่บรรดาผู้ผลิตต่างก็ทยอยส่งโปรดักต์ใหม่ๆ สร้างความคึกคักอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ที่กำลังมองหารถยนต์คันแรกเอาไว้ใช้งาน เน้นความประหยัด บำรุงรักษาง่าย มอบความคุ้มค่าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องการใช้งานและมูลค่าแบตเตอรี่เหมือนกับรถยนต์ไฟฟ้า จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รถกลุ่มนี้จะยังคงได้รับความนิยมไปอีกยาวนาน
บทความนี้ Sanook Choice จึงขอแนะนำอีโคคาร์น่าใช้ เหมาะกับลูกค้าชาวไทยอย่าง All-new Toyota YARIS ATIV ที่ถือได้ว่าเป็นรถซับคอมแพ็กมาแรงที่สุดในช่วงครึ่งหลังปี 2565 นี้เลยก็ว่าได้
หากแม้ว่าโตโยต้าจะไม่ได้ดึงเอานักร้องขวัญใจวัยรุ่นอย่าง "แบมแบม" มาร่วมเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ “โตโยต้า ยาริส เอทีฟ” ใหม่ ก็เชื่อว่ารถรุ่นนี้ก็จะได้รับเสียงตอบรับที่ดีไม่แพ้กัน เพราะรถรุ่นนี้ถือเป็นรถอีโคคาร์ยอดนิยมของลูกค้าชาวไทยอยู่แล้ว ยิ่งมีการปรับดีไซน์ชนิดพลิกโฉมใหม่หมดจดเช่นนี้ มีหรือเหล่าบรรดาแฟนๆ โตโยต้าจะไม่ตื่นเต้นไปกับการเปิดตัวในครั้งนี้
All-new Toyota YARIS ATIV เจเนอเรชันที่ 2 มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ประกอบด้วย
- Sport
- Smart
- Premium
- Premium Luxury
โดยบทความนี้จะเน้นหนักไปที่รุ่นท็อปสุดนั่นคือ Premium Luxury ซึ่งมีอุปกรณ์มาตรฐานครบครันมากที่สุด ในราคาที่ไม่กระชากกระเป๋ามากจนเกินไป (ต่ำกว่า 7 แสนบาท) ควบคู่ไปกับขุมพลังเบนซิน 1.2 ลิตร กำลังสูงสุด 94 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ CVT ที่ยังคงตอบโจทย์ในด้านความประหยัดและความทนทานอันเป็นจุดขายของโตโยต้าเสมอมา
ภายนอก
ดีไซน์ภายนอกของ โตโยต้า ยาริส เอทีฟ ใหม่ ถูกอัปเกรดให้มีรูปลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยวและพรีเมียมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยโตโยต้าระบุว่ารถรุ่นนี้ถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็น Fastback Design ด้วยแนวหลังคาที่ลาดเทสไตล์รถคูเป้ (แต่ยังคงเป็นฝากระโปรงท้ายแยกจากชุดกระจกบานหลังเหมือนกับรถเก๋งซีดานทั่วไป) ซึ่งจุดนี้เองวิศวกรของโตโยต้ากล่าวว่าพวกเขาได้ทำการบ้านอย่างหนักเพื่อยังคงรักษาพื้นที่เหนือศีรษะสำหรับผู้โดยสารตอนหลังเอาไว้ จึงทำให้มีรูปลักษณ์ที่ส่วนตัวผู้เขียนเองมองว่าก็ไม่ได้ดูเป็นฟาสต์แบ็กเสียเท่าไหร่นัก (แต่ก็เอาเถอะ)
ทุกรุ่นย่อยจะมาพร้อมไฟหน้าแบบ LED เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมด้วยไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED โดยตั้งแต่รุ่น Smart ขึ้นมาจะมีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED Light Guiding มาให้ ส่วนระบบหน่วงปิดไฟหน้า Follow-Me-Home จะมีให้เฉพาะรุ่น Premium ขึ้นมาเท่านั้น
ด้านหน้าถูกตกแต่งด้วยกระจังหน้าสีดำเงาขนาดใหญ่ มาพร้อมกับครีบอากาศที่เรียกว่า Vortex Generator บริเวณปลายกันชนทั้งสองข้าง ซึ่งสามารถส่งผ่านอากาศไปยังบริเวณล้อคู่หน้าเพื่อการระบายความร้อนได้ ซึ่งงานดีไซน์ต้องยอมรับว่าดูโฉบเฉี่ยวขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน แถมยังมีกลิ่นอายของรุ่นพี่อย่าง Corolla Altis และ Camry เข้ามาอย่างเต็มเปี่ยม
ส่วนด้านท้ายมาพร้อมชุดไฟท้ายแบบ LED Light Guiding เป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อยเช่นกัน เพียงแต่ถ้าอยากเพิ่มความเก๋ไก๋ด้วยไฟเลี้ยวแบบ LED Sequential แล้วล่ะก็ จำเป็นจะต้องเลือกรุ่น Premium ขึ้นมาเท่านั้น ขณะที่กันชนท้ายก็ถูกตกแต่งด้วยครีบสีดำเงาบริเวณปลายกันชนทั้งสองข้างเพื่อให้ดูเข้ากับรูปลักษณ์ด้านหน้าด้วยเช่นกัน
สำหรับรุ่น Premium Luxury จะมาพร้อมกระจกมองข้างปรับและพับเก็บอัตโนมัติเมื่อล็อกรถ พร้อมด้วยเสาอากาศแบบครีบฉลามสีเดียวกับตัวรถ, ระบบปัดน้ำฝนแบบปรับตั้งหน่วงเวลาได้ และล้ออัลลอยปัดเงาสีทูโทนขนาด 16 นิ้ว หุ้มด้วยยางขนาด 195/60 R16
ภายใน
ภายในห้องโดยสารของ ยาริส เอทีฟ รุ่น Premium Luxury จะถูกตกแต่งด้วยสีแดงเท่านั้น ไม่ว่าตัวถังภายนอกจะเป็นสีอะไรก็ตาม โดยเบาะนั่งจะถูกหุ้มด้วยวัสดุหนังแท้สลับหนังสังเคราะห์ เพิ่มความหรูหรายิ่งขึ้นด้วยลวดลายตะเข็บไขว้ ซึ่งการตกแต่งด้วยหนังสีแดงยังรวมไปถึงแผงคอนโซลหน้า, แผงคอนโซลกลาง, ที่วางแขนระหว่างเบาะนั่งคู่หน้า และแผงประตูอีกด้วย ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนมองว่าถ้าเพิ่มความเข้มของสีแดงมากกว่านี้อีกสักหน่อยน่าจะเข้ากับตัวรถได้ดีกว่านี้
ตัวเบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบปรับมือทั้งหมด โดยฝั่งผู้ขับขี่สามารถปรับระดับสูง-ต่ำเพื่อให้เข้ากับสรีระได้ โดยหลังเบาะนั่งคู่หน้าจะมีกระเป๋าสำหรับเก็บเอกสารมาให้ อีกทั้งยังมีไฮไลต์เด็ดอยู่ที่กระจกแต่งหน้าบริเวณแผงบังแดดฝั่งผู้ขับขี่ที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ จนเชื่อว่าใครก็ตามที่ขึ้นมานั่งรถคันนี้เป็นครั้งแรกจะต้องร้อง “โอ้โห” กันเลยทีเดียว เพราะตัวกระจกมีขนาดใหญ่กินพื้นที่ราว 80% ของแผงบังแดดเลยก็ว่าได้ เอาใจคุณผู้หญิงที่ชอบการแต่งหน้าบนรถกันแบบสุดๆ ไปเลย... แต่! แผงบังแดดฝั่งคนนั่งกลับไม่มีกระจกให้เลยแม้ว่าจะเป็นรุ่นท็อปสุดก็ตาม
ซึ่งจุดนี้เองก็มีผู้สื่อข่าวบางท่านได้ลองถามกับทีมโปรดักส์ของโตโยต้า ก็ได้รับคำตอบว่าจากการทำวิจัยอย่างหนักหน่วงที่ผ่านมา ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เป็นผู้หญิงมักจะขับรถด้วยตัวเอง เลยไปเน้นเพิ่มขนาดกระจกฝั่งผู้ขับขี่ให้ใหญ่สะใจเป็นพิเศษ ก็เลยสงสัยว่าแล้วถ้าเกิดวันหนึ่งแฟนขับให้ล่ะ คนนั่งจะไม่อยากส่องกระจกกันสักหน่อยหรืออย่างไร? แต่เอาน่ะ แค่นี้ทางโตโยต้าเองก็ต้องไฟต์กับทางญี่ปุ่นจนเลือดตาแทบกระเด็นแล้ว
เบาะนั่งมาพร้อมกับพนักพิงศีรษะแบบปรับระดับได้ 3 ตำแหน่งท ช่วยเพิ่มความปลอดภัยกรณีถูกชนท้ายขณะนั่งกันเต็มรถ ขณะที่พื้นที่เหนือศีรษะก็ถือว่าทำได้ดี ผู้เขียนเองที่มีความสูง 173 เซนติเมตรสามารถนั่งได้โดยศีรษะไม่ชนกับเพดาน เว้นแต่จะขยับสะโพกชิดกับตัวเบาะเพื่อนั่งหลังตรงจริงๆ ก็จะมีเฉียดๆ เพดานอยู่บ้าง ขณะที่ตัวพนักพิงเองก็ต้องยอมรับความค่อนข้างตั้งชันไปนิดนึง ถ้าปรับเอนได้กว่านี้อีกสักนิดจะดีมาก แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับสรีระของผู้โดยสารแต่ละคนด้วย
นอกจากนี้ บริเวณห้องเก็บสัมภาระท้ายยังมีกิมมิกเล็กๆ เนื่องจากทีมวิศวกรชาวไทยได้ทำการพัฒนาให้สามารถยกแผ่นกั้นขึ้นเพื่อแบ่งการใช้งานได้ โดยเมื่อยกแผ่นกั้นขึ้น ก็จะเป็นการปิดบังสิ่งของที่อยู่ภายใน เหมาะสำหรับเก็บสัมภาระที่นานๆ จะหยิบมาใช้สักที หรือของบางอย่างอาจไม่อยากให้คนอื่นเห็นก็ซ่อนเอาไว้ได้ ถือเป็นการออกแบบง่ายๆ แต่สามารถใช้งานได้จริง อีกทั้งยังมีช่องเก็บสัมภาระกระจุกกระจิก เช่น รองเท้า, กระเป๋า ฯลฯ อยู่ใต้พื้นห้องโดยสารมาให้ด้วย
ชุดเรือนไมล์ดูคุ้นตาเพราะยกมาจาก Toyota Veloz แทบทั้งหมด โดยฝั่งขวาจะเป็นตัวเลขแสดงความเร็วแบบดิจิทัลขนาดใหญ่ และฝั่งซ้ายเป็นหน้าจอสี TFT ขนาด 7 นิ้ว ที่สามารถปรับการแสดงผลได้อย่างหลากหลายผ่านปุ่มบนพวงมาลัย สามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของมาตรวัดรอบได้หลากหลายรูปแบบ หรือเปลี่ยนแม้กระทั่งเสียงไฟเลี้ยวก็ทำได้เช่นกัน
ตัวพวงมาลัยของรุ่น Premium Luxury เป็นแบบมัลติฟังก์ชันหุ้มหนังปรับได้ทั้งขึ้น-ลง และเข้า-ออก รวม 4 ทิศทาง ตกแต่งด้วยสีเงินเมทัลลิก ซึ่งนอกจากจะมีปุ่มควบคุมระบบความบันเทิงและระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC - Adaptive Cruise Control แบบ All-speed มาให้ด้วยแล้วนั้น ยังมีปุ่มปรับการทำงานของกล้องมองรอบคัน PVM (Panoramic View Monitor) และปุ่ม “MODE” สำหรับเลือกโหมดการขับขี่ ECO และ PWR มาให้ด้วย ซึ่งอันนี้เดี๋ยวจะมาอธิบายให้อีกทีว่ามันทำงานอย่างไร ทำไมถึงเลือกทั้งสองโหมดพร้อมกันได้!
ในรุ่น Premium ขึ้นมายังมีปุ่มเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electric Parking Brake) คู่กับระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH (Auto Brake Hold) ที่สามารถช่วยเหยียบเบรกค้างขณะรถติดไฟแดงได้ พร้อมด้วยระบบกุญแจ Smart Entry และปุ่ม Push Start เสริมไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร (Ambient Light) ที่ปรับได้ถึง 64 สี โดยที่รุ่น Premium จะมีไฟส่องเฉพาะบริเวณคอนโซลกลางเท่านั้น ขณะที่รุ่น Premium Luxury จะเพิ่มไฟตกแต่งบริเวณแผงคอนโซลหน้าและแผงประตูคู่หน้ามาให้ด้วย
ส่วนระบบปรับอากาศอัตโนมัติถูกยกแผงควบคุมมาจาก Veloz ด้วยเช่นกัน ซึ่งการทำงานถือว่าเย็นเร็วสะใจตามฉบับโตโยต้า มาพร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง แต่จะไม่มีระบบไล่ฝ้ากระจกบังลมหน้ามาให้ นอกจากนี้ ระบบปรับอากาศของ YARIS ATIV ยังเพิ่มเติมด้วยระบบกรองฝุ่น PM 2.5 มาให้ด้วย โดยจะมีแถบวัดปริมาณฝุ่นในอากาศมาให้บนหน้าจอเพื่อแสดงคุณภาพของอากาศภายในห้องโดยสารว่าดีหรือแย่แค่ไหน
ขยับลงมาใต้แผงสวิตช์ระบบปรับอากาศจะพบกับปุ่มที่เขียนว่า “PM 2.5” ซึ่งไม่ใช่ปุ่มเปิด-ปิดการทำงานของไส้กรอง PM 2.5 แต่อย่างใดหรอกนะครับ เพราะตลอดเวลาที่ระบบปรับอากาศทำงาน ไอ้เจ้าไส้กรองก็จะคอยดักจับฝุ่นให้ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่การกดปุ่มดังกล่าวจะเป็นการเร่งความแรงลมแอร์ขึ้นมาอีก 2 ระดับ เพื่อเพิ่มการกำจัดฝุ่นภายในห้องโดยสารให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง
ใกล้กันเป็นไฟแสดงสถานะการรัดเข็มขัดของผู้โดยสารตอนหลังทั้ง 3 ตำแหน่ง พร้อมด้วยช่อง USB-A ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง และด้านหลังมีให้อีก 2 ตำแหน่ง ส่วนถ้าใครอยากได้ระบบชาร์จไฟไร้สาย Wireless Charger แล้วล่ะก็ สามารถซื้อหาเป็นอุปกรณ์เสริมกับทางดีลเลอร์เพิ่มเติมได้ แต่จะไม่มีติดตั้งมาให้จากโรงงานแต่อย่างใด
หน้าจออินโฟเทนเมนท์ตั้งแต่รุ่น Smart ขึ้นมาจะเป็นแบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว พร้อมปุ่ม Hot Keys แบบสัมผัสเพื่อการเข้าสู่เมนูต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น โดยหน้าจอชุดนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ผ่านสาย USB ได้ หรือจะเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth เพื่อการฟังเพลงและโทรศัพท์ตามปกติก็ได้ ขณะที่รุ่น Premium Luxury จะเป็นรุ่นเดียวที่ได้ลำโพง Pioneer จำนวน 6 ตำแหน่ง ซึ่งคุณภาพเสียงที่ได้ก็ถือว่าค่อนข้างดีทีเดียว ถ้าไม่ได้เป็นพวกหูเทพจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนลำโพงให้วุ่นวาย
ในรุ่น Premium และ Premium Luxury มีการติดตั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูง Toyota Safety Sense มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ประกอบด้วย
- ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS (Pre-Coliision System)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ACC (Adaptive Cruise Control) แบบ All-Speed
- ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยดึงกลับอัตโนมัติ LDA (Lane Departure Alert)
- ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งแบบผิดวิธี (Pedal Misoperation Control)
- ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว (Front Departure Alert)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ AHB (Automatic High Beam)
โดยที่รุ่น Smart ก็จะมีระบบที่ว่านี้ให้ด้วยเช่นกัน แต่จะขาดเพียงระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ AHB (Automatic High Beam) เท่านั้น
ขณะที่ระบบความปลอดภัยมาตรฐานอื่นๆ ประกอบไปด้วย ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM, ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA, ระบบควบคุมการทรงตัว VSC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC, ระบบเบรก ABS/EBD/BA, สัญญาณไฟฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน EBS, ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง และจุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX เป็นต้น
การขับขี่
ในด้านการขับขี่ต้องยอมรับเลยว่า โตโยต้า ยาริส เอทีฟ ใหม่ ที่มีการเปลี่ยนไปใช้แพล็ตฟอร์ม DNGA (Daihatsu New Global Architecture) มอบคุณภาพการขับขี่ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยช่วงล่างที่สามารถรองรับแรงสะเทือนจากพื้นถนนได้อย่างนุ่มนวล ไม่ตึงตัง เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ประกอบกับเสียงรบกวนในขณะขับขี่ที่ลดลง โดยเฉพาะเสียงจากพื้นถนนแม้ใช้ความเร็ว 120 กม./ชม. ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ แต่ถึงกระนั้นยังพอมีเสียงลมไหลผ่านตัวถังด้านข้างเล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยินบ้างเมื่อใช้ความเร็วสูง
พวงมาลัยให้ความรู้สึกมั่นใจที่ความเร็วสูง หากเทียบกับรุ่นก่อนหน้าจะเห็นได้ชัดว่ามีการปรับปรุงดีขึ้นชัดเจนทีเดียว ให้การตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น อาการพวงมาลัยทื่อเป็นหุ่นยนต์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังให้น้ำหนักที่พอเหมาะพอเจาะเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ไม่เบาะโหวงเหมือนแต่ก่อน ทำให้การขับขี่ทางไกลรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
แต่จุดหนึ่งที่ต้องยอมรับนั่นก็คือ พละกำลังของเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร ไร้ระบบช่วยอัดอากาศ ก็ยังคงตอบสนองในแบบเครื่องยนต์ 1.2 ลิตรทั่วไป แม้ว่าโตโยต้าเองจะมีการปรับปรุงเครื่องยนต์ในหลายจุดสำคัญก็ตาม ซึ่งถามว่าเพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่? ก็ต้องบอกว่าหากเป็นการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไปก็เหลือๆ แหละครับ ยิ่งถ้าไม่ใช่คนรีบร้อนอะไร เครื่องยนต์บล็อกนี้ก็มอบความประหยัดได้อย่างน่าทึ่งเหมือนเคย เพราะตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองจากการขับขี่ปกติ (แบบนอกเมือง) ก็มี 17 กม./ลิตร โผล่มาให้เห็นแบบไม่ยากเย็น แต่หากประคองกันดีๆ สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเกิน 20 กม./ลิตร ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงอีกเช่นกัน
นอกจากนี้ ฟีเจอร์ความปลอดภัยต่างๆ ที่ใส่มาให้ โดยเฉพาะระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ACC (Adaptive Cruise Control) แบบ All-Speed สามารถใช้งานได้จริง และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องขับรถเดินทางไกลๆ เป็นประจำ เพราะระบบดังกล่าวจะช่วยลดความเร็วตามรถคันหน้าให้อัตโนมัติ และเมื่อรถคันหน้าเร่งความเร็วขึ้น หรือเปลี่ยนเลนออกไป ระบบก็จะกลับมาใช้ความเร็วตามที่ตั้งไว้แต่แรก ถือเป็นฟังก์ชันที่สามารถวางใจได้บนถนนจริง
สรุป
All-new Toyota YARIS ATIV ใหม่ มาพร้อมบุคลิกที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้น งานดีไซน์มอบความภูมิฐานน่าใช้กว่าแต่ก่อน ช่วงล่างปรับปรุงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร ที่ให้เรี่ยวแรงไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก แต่เมื่อแลกกับอุปกรณ์มาตรฐานที่อัดแน่นเต็มคัน ประกอบกับระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense ที่มีฟังก์ชัน Adaptive Cruise Control แบบ All-Speed ในรถราคาไม่ถึง 7 แสนบาท ก็ต้องยอมรับในแง่ของความคุ้มค่าคุ้มราคาชนิดที่หาคู่เปรียบได้ยากในเวลานี้ครับ
ราคาจำหน่าย All-new Toyota YARIS ATIV 2022 ใหม่ มีดังนี้
- รุ่น Sport ราคา 539,000 บาท
- รุ่น Smart ราคา 584,000 บาท
- รุ่น Premium ราคา 659,000 บาท
- รุ่น Premium Luxury ราคา 689,000 บาท
อัลบั้มภาพ 37 ภาพ