5 สิ่งน่ารู้เกี่ยวกับ All-new Toyota Innova ใหม่ ก่อนวางขายจริงในไทย

     All-new Toyota Innova 2023 เจเนอเรชันใหม่ ถูกเปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศอินโดนีเซียเมื่อช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมา ก่อนจะมีข้อมูลว่าเอ็มพีวีรุ่นดังกล่าวมีแผนเตรียมเปิดตัวในประเทศไทยเร็วๆ นี้ Sanook Auto จะพาไปรู้จัก 5 สิ่งน่ารู้ของ Toyota Innova โฉมใหม่ว่าจะมีอะไรเด็ดๆ บ้าง?

1. เปลี่ยนไปใช้แพล็ตฟอร์มแบบ Unibody

     ที่ผ่านมา Toyota Innova ถูกพัฒนาให้เป็นรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวีที่ใช้โครงสร้างแชสซีแบบ Body-on-frame ร่วมกับ Hilux และ Fortuner แต่สำหรับ All-new Toyota Innova เจเนอเรชันที่ 3 ได้มีการเปลี่ยนไปใช้แพล็ตฟอร์ม TNGA-C แบบ Unibody มาพร้อมช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังแบบทอร์ชันบีมแทน

     ซึ่งแน่นอนว่าการเปลี่ยนไปใช้แพล็ตฟอร์มดังกล่าว จะช่วยให้ All-new Toyota Innova มีการขับขี่ใกล้เคียงกับรถเก๋งมากยิ่งขึ้น อีกทั้งวิศวกรยังสามารถจัดวางพื้นที่ภายในห้องโดยสารได้ดีขึ้นกว่่าเดิม แม้ว่าการใช้โครงสร้างแบบ Unibody อาจทำให้ประสิทธิภาพการขับขี่แบบออฟโรดลดน้อยลงไป แต่ก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่นักเนื่องจากลูกค้ารถกลุ่มนี้มักเน้นการใช้งานแบบออนโรดเป็นหลักอยู่แล้ว

2. มีเครื่องยนต์ Hybrid ให้เลือกเป็นครั้งแรก

     Toyota Innova เจเนอเรชันที่ 3 ถูกติดตั้งเครื่องยนต์ไฮบริดเป็นครั้งแรก โดยในตลาดอินโดนีเซียมาพร้อมเครื่องยนต์ไฮบริดรหัส M20A-FXS ที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร Dual VVT-i กำลังสูงสุด 152 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 149 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 113 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 206 นิวตัน-เมตร ให้กำลังรวมทั้งระบบสูงสุด 186 แรงม้า ส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ e-CVT

3. เครื่องยนต์สันดาปล้วนยังมีอยู่

     ส่วนกลุ่มลูกค้าที่ไม่ต้องการเครื่องยนต์ไฮบริด (เช่น ลูกค้าที่ซื้อไปใช้งานเชิงพาณิชย์เป็นหลัก) ก็ยังมีเครื่องยนต์สันดาปล้วนเป็นทางเลือก โดยเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร Dual VVT-i ให้กำลังสูงสุด 174 แรงม้า ที่ 6,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 205 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 - 4,900 รอบต่อนาที ส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT เท่านั้น

4. เพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานขึ้นอีกเพียบ

     All-new Toyota Innova มีการเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานใกล้เคียงกับรถยนต์หรู เช่น ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ที่สามารถสั่งงานด้วยคำสั่งเสียง, เบาะนั่งแถวที่ 2 แบบกัปตันซีทแยกอิสระซ้าย-ขวา สามารถปรับระดับด้วยไฟฟ้า พร้อมที่รองน่องแบบปรับระดับได้, หน้าจอความบันเทิงขนาด 10 นิ้ว จำนวน 2 จอ สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, หลังคากระจก Panoramic Retractable Roof พร้อมไฟตกแต่ง, หน้าจออินโฟเทนเมนท์ระบบสัมผัสขนาด 10 นิ้ว, ที่ชาร์จไร้สาย, ระบบเบรกมือไฟฟ้าพร้อม Brake Hold และหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ TFT ขนาด 7 นิ้ว เป็นต้น

5. ใส่ระบบ Toyota Safety Sense เป็นครั้งแรก

     ในเวอร์ชันอินโดนีเซียมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูง Toyota Safety Sense ลงในรุ่นท็อปสุด ประกอบด้วยระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ Dynamic Radar Cruise Control (DRCC), ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ Pre-Collision System (PCS), ระบบเตือนรถออกนอกเลนและช่วยประคองให้รถอยู่ในเลน Lane Departure Alert (LDA) & Lane Tracing Assist (LTA) และระบบไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beam (AHB) รวมถึงกล้องมองภาพรอบคันและถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า ด้านข้างคู่หน้า และม่านถุงลม)

     ส่วนเวอร์ชันไทยจะมีรายละเอียดเป็นอย่างไรต้องอดใจรอกันอีกนิด